แนวคิดเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเฉพะกิจ
ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจมีความสำคัญมากขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมาโดยจุดเริ่มต้นของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
เกิดขึ้นจากการขยายตัวทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความเจริญก้าวหน้าทางด้านการสื่อสาร
ทำให้มีความต้องการข้อมูลที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นทำให้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันไม่เพียงพอจึงจำเป็นต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษเฉพาะสาขาเพราะบุคคลต่างอาชีพมีความต้องการใช้ภาษาอังกฤษในเนื้อหาที่แตกต่างกันตามกลุ่มอาชีพ
เช่น แพทย์ พ่อค้า เป็นต้น (Hutchinson and Waters, 1989 : 1-5) ซึ่งถ้าผู้เรียนมีความต้องการและความสนใจต่างกัน และผู้เรียนได้เรียนตามที่ตนต้องการจะทำให้ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะเรียนและประสบความสำเร็จในการเรียนมากขึ้น
(Nunan, 1988: 35-42)
ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1989 : 8) กล่าวว่า การสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจกำเนิดและพัฒนามาจากปัจจัย 3 ประการ
คือ
1.
การขยายตัวของปริมาณความต้องการในการใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับ ความต้องการเฉพาะสาขา
2. การพัฒนาการของการศึกษาด้านภาษาศาสตร์
3.
จิตวิทยาการศึกษาที่เน้นความสำคัญที่ตัวผู้เรียน (Student centered approach)
บรีกเกอร์ (Brieger, 1995: 54, อ้างถึงใน ดาว แสงบุญ,
2543: 30) กล่าวว่าการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจแตกต่างจากการสอนภาษาอังกฤษทั่วไป
เนื่องจากภาษาอังกฤษเฉพาะกิจสะท้อนความต้องการที่แตกต่างกันของกลุ่มผู้เรียนหลายกลุ่ม
ทั้งกลุ่มผู้เรียนที่กำลังศึกษาเพื่อเตรียมตัวสู่การประกอบอาชีพในอนาคต (Pre-service students) และผู้เรียนที่ประกอบอาชีพแล้ว
(In-service professionals) ซึ่งประกอบด้วยการศึกษาเนื้อหากว้างๆ ทั่วไปจนถึงการฝึกอบรมในสถานการณ์เฉพาะ นอกจากนี้ได้เสนอเพิ่มเติมว่าภาษาอังกฤษเฉพาะกิจเกิดจากองค์ประกอบดังนี้
1. กลวิธีในการสอนภาษาอังกฤษที่ทำการสอนองค์ความรู้ด้านภาษาและทักษะทางภาษาในขอบเขตเนื้อหาเฉพาะโดยใช้กิจกรรมการสอนเพื่อการสื่อสาร
2.
การฝึกอบรมด้านการสื่อสารเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของกระบวนการในการสื่อสารทั้งหมดโดยเน้นเนื้อหาทั้งทางด้านรูปแบบของภาษาและกระบวนการสื่อสาร
3. หลักในการเรียนการสอนที่ใช้คือ ใช้บริบทของเนื้อหาเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ ในสาขาวิชาเฉพาะด้าน
โดยสรุป
ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจเกิดขึ้นจากความต้องการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
และเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเฉพาะสาขาอาชีพโดยเน้นที่ความสำคัญของผู้เรียน
และความต้องการในการนำภาษาอังกฤษไปใช้ในงานอาชีพได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
3.2
ความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
การเรียนการสอนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษเฉพาะกิจเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
จึงมีผู้ให้ความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจไว้ดังนี้ ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and
Waters, 1989: 13-19) ได้ให้ความหมายของ
ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่าเป็นแนวทางใหม่ในการเรียนการสอนภาษาซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัย
3 ประการ คือ
1.
ความต้องการของผู้เรียน
2. ความคิดใหม่เกี่ยวกับภาษาที่ยึดจุดประสงค์ในการสอนภาษาตามสถานการณ์เป้าหมาย
3. ความคิดใหม่เกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาโดยที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพได้
สตรีเวนส์ (Strevens, 1987 : 87) กล่าวว่าการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจเป็นการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่ไม่ได้มุ่งเน้นเนื้อหาทางด้านวัฒนธรรมหรือวรรณคดีแต่มุ่งเน้นให้ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเฉพาะกลุ่มหรือเกี่ยวข้องกับงานเฉพาะด้าน
(Specific job) หรือวิชาเฉพาะสาขา (Specific subject) หรือเป็นความต้องการที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ(Specific purposes)โรบินสัน (Robinson 1991: 1) ได้กล่าวถึงภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่า
ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจเป็นกิจกรรมที่สำคัญต่อโลกปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการศึกษา การฝึกอบรมและการฝึกฝนโดยครอบคลุมขอบเขตความรู้ที่สำคัญ
3 ประการคือ
1.
ความรู้ด้านภาษา
2.
วิชาเฉพาะสาขา
3.
ความสนใจเฉพาะสาขาวิชาของผู้เรียน
นอกจากนี้ โรบินสัน (Robinson, 1980: 13) สรุปความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่าเป็นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่มีวัตถุประสงค์ชัดเจน
โดยมุ่งที่ความสำเร็จในการแสดงออกถึงบทบาทต่างๆ ที่จำเป็นในการศึกษาหรือทางวิชาชีพและขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียน
ดังนั้นหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจจึงแตกต่างกันในเรื่องของทักษะ หัวเรื่อง สถานการณ์หน้าที่ทางภาษาและตัวภาษา
การเรียนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจมีทั้งก่อนเข้าสู่บทบาททางอาชีพ หรือการศึกษาสาขานั้นๆ หรือเป็นการเรียนควบคู่ไปพร้อมกับการเรียนวิชาชีพหรือวิชาการแขนงนั้นๆ
หรือเป็นการเรียนสำหรับผู้ที่มีความรู้ความสามารถในงานอาชีพ หรือในแนวทางวิชาการแขนงนั้นๆเป็นอย่างดีแล้วในภาษาแม่
แต่จำเป็นต้องแสดงบทบาททางอาชีพหรือทางวิชาการเหล่านั้นด้วยภาษาอังกฤษ
จากการให้ความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจตามแนวคิดของนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายไว้ดังนี้
นอส และรอดเฟอร์ส (Noss and Rodfers, 1976: 5)ได้กล่าวถึงความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่า
เป็นเนื้อหาของภาษาอังกฤษที่เลือกมาสนองวัตถุประสงค์ความต้องการของผู้เรียนเฉพาะกลุ่ม ซึ่งสอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ มันบี (Munby, 1978: 2)
ที่ได้กล่าวว่า ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ หมายถึง
ภาษาอังกฤษที่จัดเนื้อหาและอุปกรณ์ในการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ความต้องการในการสื่อสารของผู้เรียน นอกจากนี้
แมคกี้ (Mackey, 1978:
21-37) ได้กล่าวถึงภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่า
เป็นการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศโดยมีจุดมุ่งหมายที่ใช้ประโยชน์ได้จริง หมายความว่าสามารถนำไปใช้เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือ
ดังนั้นจุดหมายปลายทางของการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจจึงไม่ได้อยู่ที่ความเข้าใจในบทเรียนนั้น แต่เป็นความเข้าใจเพื่อนำแนวทางไปใช้ในอนาคต
สรุปได้ว่าภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
คือภาษาอังกฤษที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนในสาขาอาชีพและความถนัดที่แตกต่างกัน โดยผู้เรียนได้ใช้ความรู้ด้านภาษาเป็นพื้นฐานในการเรียนโดยที่ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจมีขอบเขตที่จำกัดกว่าภาษาอังกฤษทั่วไป
ประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจจากแนวคิดที่ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ เป็นการสอนภาษาอังกฤษที่สอดคล้องและตอบสนองความต้องการของผู้เรียน
นักการศึกษาจึงจำแนกภาษาอังกฤษเฉพาะกิจออกเป็นประเภทต่างๆ
3.3
ประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
โรบินสัน (Robinson, 1980)
นำเสนอแนวคิดประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจไว้ดังนี้

![]() |
|||
![]() |
|||
![]() |
|||
![]() |
|||
แผนภูมิที่ 5 ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจตามแนวคิดของ
โรบินสัน
ที่มา : Pauline C. Robinson, ESP Today : A Practional’s
Guide (London: Prentice Hall, 1991),
13.
จากภาพ แสดงถึงการกำหนดลักษณะเฉพาะของการใช้ภาษา
การกำหนดทักษะ และภาระงาน
เช่น การสอนอ่านเอาความนั้นควรมีเนื้อหาที่เหมาะสมกับสาขาวิชาหรืออาชีพของผู้เรียน เช่น
การสอนแพทย์ หรือการสอนนักเรียนที่เรียนฟิสิกส์
การกำหนดเนื้อหานั้นควรเหมาะสมกับนักเรียนที่มีความสามารถในระดับสูง

![]() |
แผนภูมิที่ 6 การจำแนกประเภทของการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจตามแนวคิดของสตรีเวนส์
ที่มา : Streven, “Special-Purpose
Language Learning: A Perspective,” Language Teaching and Linguistics 10, 3 (1997):155-156.
ในบทความเรื่อง ภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุด้านวิชาการ (EAP) จอร์แดน (Jordan , 1989) จำแนกประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ (ESP) ดังนี้

![]() |
แผนภูมิที่ 7 การจำแนกประเภทภาษาอังกฤษเฉพาะกิจตามแนวคิดของจอร์แดน
ที่มา : Robert R. Jordan, “English For
Academic Purposes,’’ Language Teaching 22, 3 (1989): 150.
จากแผนภูมิที่ 7 จะเห็นว่า จอร์แดน (Jordan , 1989)
มีความเห็นว่า ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ (EOP)
เป็นแขนงหนึ่งของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ(ESP) และแตกต่างจาก
ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ(EAP)
และจุดประสงค์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (EST)
ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1989: 16-19) ได้แบ่งภาษาอังกฤษเฉพาะกิจออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (English for
Science and Technology: EST) ซึ่งแบ่งเป็นสาขาย่อยดังนี้
1.1 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ (English for Academic Purposes: EAP) เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับการศึกษาทางการแพทย์ (English
for Medical Studies)
1.2 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ (English for Occupational Purposes: EO เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับช่างเทคนิค (English for Technicians)
2. ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ (English for Business and Economics: EBE) ซึ่งแบ่งเป็นสาขาย่อยดังนี้
2.1 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ (English for Academic Purposes: EAP) เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ (English for Economics)
2.2 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ (English for
Occupational Purposes: EOP) เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับเลขานุการ
(English for Secretaries)
3. ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาสังคมศาสตร์ (English for Social Science: ESS) ซึ่งแบ่งเป็นสาขาย่อยดังนี้
3.1 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ (English for Academic Purposes: EAP) เช่น ภาษาอังกฤษด้านจิตวิทยา (English for Psychology)
3.2 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ (English for Occupational Purposes :EOP) เช่น ภาษาอังกฤษเพื่อการสอน
(English for Teaching)
จอห์น (John, 1990, quoted in Robinson, 1991: 4) จำแนกภาษาอังกฤษเฉพาะกิจออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
1.
ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ ซึ่งแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.1
ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการทั่วไป (General English for Academic Purposes)
1.2 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์เฉพาะสาขา (Discipline
Specific) เป็นการศึกษา ระดับปริญญาตรี
2. ภาษาอังกฤษเพื่อความเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพชั้นสูง
(Professional) ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
2.1 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านธุรกิจ
2.2 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านสังคม
2.3 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านเทคโนโลยี
3. ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพระยะสั้น (Vocational) ซึ่งแบ่งเป็น
2 ประเภท คือ
3.1 ภาษาอังกฤษเพื่อวิชาชีพในฐานะภาษาที่สอง (Vocational English as a Second
Language: VESL)
3.2 ภาษาอังกฤษเพื่อวิชาชีพในระดับอ่านออกเขียนได้
(Literacy)
อีเวอร์
(Ewer, 1979:
46-47) ได้แบ่งภาษาอังกฤษเฉพาะกิจด้านอาชีวศึกษา (English for Vocational Purpose= EVP)
ไว้ดังนี้ ภาษาอังกฤษช่างไฟฟ้า ช่างก่อสร้าง เลขานุการ พนักงานบริษัท พนักงานบัญชี พนักงานธนาคาร พนักงานโรงแรม พนักงานสายการบิน พนักงานเกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว
พนักงานเกี่ยวข้องกับพนักงานควบคุมจราจรทางอากาศ พนักงานทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์
โรบินสัน (Robinson, 1991: 2-3) ได้จำแนกภาษาอังกฤษเฉพาะกิจออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
1.
ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ (English for
Occupational Purposes: EOP)
ซึ่งเน้นถึงความต้องการที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและการฝึกอบรม
2. ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ (English
for Academic Purposes: EAP) ซึ่งเน้นถึงความต้องการด้านการศึกษาจากการจำแนกประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
สรุปได้ว่าการจำแนกตามจุดประสงค์ของการนำภาษาอังกฤษไปใช้ในแต่ละสาขาอาชีพ
โดยนำภาษาอังกฤษไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านวิชาการและด้านวิชาชีพ
ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการนำภาษาอังกฤษไปใช้ในการศึกษาหรือการประกอบอาชีพการจัดหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจจากการจำแนกประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
จะเห็นได้ว่าการจัดหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจสามารถจัดได้
2 แบบ คือ หลักสูตรการสอนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านวิชาการ และเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ สำหรับหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจนั้นโดยภาพรวมคือการระบุเนื้อหาให้แคบลงกว่าเนื้อหาทั้งหมดของภาษาที่เรียน
เช่นภาษาอังกฤษสำหรับนักธุรกิจ
ภาษาอังกฤษสำหรับเลขานุการ ภาษาอังกฤษสำหรับช่างเทคนิค เป็นต้น
นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงการจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจไว้ดังนี้
โรบินสัน (Robinson,1991: 2-4) กำหนดเกณฑ์ของวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจดังนี้
1. การสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน นั่นคือผู้เรียนเรียนภาษาไม่เพียงเพราะสนใจในภาษาอังกฤษหรือวัฒนธรรมของภาษา แต่ยังรวมถึงเรียนภาษาอังกฤษเพื่อประกอบอาชีพและการศึกษาด้วยเช่นกัน
2. การกำหนดหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ กำหนดขึ้นจากการวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียน (Needs analysis) เพื่อชี้ชัดว่าผู้เรียนมีความต้องการเรียนภาษาอังกฤษและใช้ภาษาอังกฤษในด้านใดบ้าง
3. หลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ กำหนดขึ้นสำหรับผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ในการเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษมาแล้วไม่ใช่หลักสูตรสำหรับผู้เริ่มเรียน
4. ในชั้นเรียนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจควรประกอบด้วยผู้เรียนที่มีจุดประสงค์หรือเป้าหมายในการเรียนรู้เดียวกันหรือคล้ายคลึงกันเพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ด้วยกัน
นอกจากนี้ โรบินสัน (Robinson, 1991: 34-40) ได้เสนอแนวทางในการจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่าอาจยึดแนวทางจากหลักสูตรต่อไปนี้
1. หลักสูตรการสอนที่เน้นเนื้อหาทางภาษา
(Content-based syllabus) โดยแบ่งออกเป็น 2 หลักสูตร ดังนี้
1.1 หลักสูตรการสอนที่เน้นเนื้อหาทางภาษาโดยเน้นรูปแบบภาษา (Language form) แนวคิดทางภาษา
(Language notion) และหน้าที่ทางภาษา (Language function) เช่น ภาษาอังกฤษเทคนิค ภาษาอังกฤษสำหรับวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
1.2 หลักสูตรการสอนที่เน้นเนื้อหาทางภาษาโดยเน้นสถานการณ์ (Situation) และหัวข้อ
(Topic) เช่น ภาษาอังกฤษธุรกิจ
ภาษาอังกฤษสำหรับเทคโนโลยี เป็นต้น
2. หลักสูตรการสอนที่เน้นทักษะทางภาษา
(Skill-based syllabus) เป็นหลักสูตรที่เน้นการใช้ทักษะทางภาษา 4 ทักษะ คือ ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยอาจจะเน้นเรื่องรูปแบบภาษาและหน้าที่ของภาษา
3. หลักสูตรการสอนที่เน้นกระบวนการสอน
(Method-based syllabus) โดยแบ่งออกเป็น
2 หลักสูตร คือ
3.1 หลักสูตรการสอนที่เน้นกระบวนการสอนโดยคำนึงถึงกระบวนการ
(Process) ในการเรียนการสอนที่จะเกิดขึ้นในชั้นเรียนระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
3.2
หลักสูตรการสอนที่เน้นกระบวนการสอนโดยคำนึงถึงภาระงาน
(Task) หรือกิจกรรมการเรียน (Activity) ที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้
วันเพ็ญ ทับทิมทอง (2536) กล่าวถึงการจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ ดังนี้
1.
เป็นรายวิชาที่จัดขึ้นเพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะของผู้เรียน
2.
มีเนื้อหาเกี่ยวกับสาขาวิชา อาชีพหรือกิจกรรมในสาขาวิชา
3. เน้นลักษณะภาษาทั้งทางด้านโครงสร้างไวยากรณ์ คำศัพท์ หน้าที่และการใช้ภาษาซึ่งเหมาะสมกับกิจกรรมของสาขาวิชา
4.
ตรงกันข้ามกับภาษาอังกฤษทั่วไป
อัจฉรา
วงศ์โสธร (2539: 23) กล่าวถึง
ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจในมุมมองด้านวัตถุประสงค์ของผู้เรียนว่า การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจมีจุดมุ่งหมายกว้าง
ๆ 2 ประการ คือ
1.
เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการศึกษาและวิชาการ
2.
เพื่อตอบสนองความต้องการด้านอาชีพ
นอกจากนี้
ได้เสนอว่าภาษาอังกฤษเฉพาะกิจไม่ใช่ภาษาที่คิดขึ้นเป็นพิเศษ เพียงแต่นำภาษาธรรมดามาใช้ในขอบเขตเฉพาะวิชาชีพ
เพื่อสื่อความหมายในวงอาชีพเดียวกันอย่างได้ผลมากที่สุด
และเป็นประโยชน์ที่สุด
ณัชยา เฉลยทรัพย์
(2539: 229) กล่าวว่า สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ มี 4 ประการ คือ ผู้เรียน เอกสารการสอน
และเนื้อหา ผู้สอนและข้อจำกัด และวิธีการบริหารหลักสูตร
3.4
การออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1989:
21-23) กล่าวว่า การออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจนั้น ต้องประกอบด้วยปัจจัยต่อไปนี้

![]() |
แผนภูมิที่ 8
ปัจจัยที่ผลกระทบต่อกระบวนการออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
ที่มา : Thomas Hutchinson and Alan
Waters, English for Specific Purposes (Oxford:
Oxford University Press, 1989),22.
ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1989: 21-23) กล่าวว่า
การออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่า
เป็นแนวคิดที่จะสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ และออกแบบรายวิชาให้เหมาะสมกับกลุ่มของผู้เรียนที่แตกต่างกัน
โดยผู้ออกแบบรายวิชาต้องคำนึงถึงคำถามเบื้องต้นต่อไปนี้
1.
ทำไมผู้เรียนต้องการเรียน
2. ใครเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
เช่น ผู้เรียนผู้สอน หรือสถานประกอบการ เป็นต้น
3.
การเรียนรู้เกิดขึ้นที่ไหน ต้องเตรียมอะไรบ้างและข้อจำกัดคืออะไร
4.
การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อไรและจะจัดสรรเวลาอย่างไร
5. ผู้เรียนต้องการเรียนรู้อะไร รูปแบบภาษาที่ต้องการคืออะไร จะประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียนอย่างไร และขอบเขตของหัวเรื่องครอบคลุมเนื้อหาอะไรบ้าง
6. ผู้เรียนสามารถประสบความสำเร็จในการเรียนได้อย่างไร ทฤษฎีการเรียนรู้ของรายวิชานี้ คืออะไร
และมีวิธีการสอนแบบใด
จากคำถามเหล่านี้ทำให้เกิดปัจจัยที่ส่งผลต่อการออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
คือ
1. เนื้อหาภาษา (Language
descriptions) ที่ใช้ในการสอน ซึ่งนำไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้ เช่น โครงสร้างภาษา หน้าที่ทางภาษา เป็นต้น
2. ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theories) เป็นแนวคิดทฤษฎีพื้นฐานสำหรับวิธีสอนที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจในการเรียนรู้ของมนุษย์
3. การวิเคราะห์ความต้องการ (Needs analysis) เป็นการตอบคำถามว่ากลุ่มเป้าหมาย คือใคร
ต้องการเรียนรู้อะไร สถานการณ์ที่ต้องเรียนรู้คืออะไร และต้องเรียนรู้เมื่อไร
โดยวิเคราะห์ทั้งภาษาเป้าหมายและสถานการณ์การเรียนรู้
ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของกระบวนการออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1989: 21-23) ได้แยกการวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.
ความต้องการเป้าหมาย (Target needs) จำแนกเป็น
3 ประการคือ
1.1 ความจำเป็นที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ คือการที่ผู้เรียนจะนำภาษาอังกฤษไปใช้ในสถานการณ์เป้าหมายที่เป็นหลักสูตรที่จัดไว้ตามความจำเป็นของผู้เรียน
เช่นนักธุรกิจต้องเรียนจดหมายธุรกิจเพื่อจะติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.2 ความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อผู้เรียนมีความสามารถอยู่ในระดับต่ำ
1.3 ความต้องการเพิ่มเติมของผู้เรียน
เป็นความต้องการเฉพาะของบุคคลขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความสนใจของผู้เรียน เช่น ต้องการมีความสามารถด้านการพูด เพื่อจะได้ทำงานกับชาวต่างประเทศ
2. ความต้องการในการเรียนรู้
(Learning needs) คือ
ความต้องการในการเรียนรู้ที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการเรียนรู้
เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตนต้องการ เช่น ต้องการเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น
ดูเลย์
อีวานส์ และ จอน (Dudley-Evans St.John, 1998: 4-5) มีความคิดเห็นว่าคำอธิบายของ วอเทอร์ส ฮัทชินสัน สตรีเวน โรบินสัน (Waters
Hutchinson, Streeven Robinson) นั้น
ยังมีจุดอ่อน
เขาจึงนำเสนอความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ โดยกำหนดคุณลักษณะที่เหมือนกันกับการสอนภาษาอังกฤษโดยทั่วไป คือ พัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน
ในการสอนนั้นสนับสนุนสาขาการเรียนของผู้เรียน โดยมีคำศัพท์ สำนวน โครงสร้าง
ไวยากรณ์ ทักษะ บทบาท และสถานการณ์ที่เหมาะสมกับกิจกรรมของผู้เรียน คุณลักษณะที่แตกต่างของภาษาอังกฤษโดยทั่วไปคือ
การพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจนั้นสอดคล้องกับสาขาการเรียนของผู้เรียน
การพัฒนาหลักสูตรนั้นเหมาะกับนักเรียนที่เป็นผู้ใหญ่ หรือนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรืออาชีวศึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพ และสุดท้ายคือ
การพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนได้ทุกระดับ คือ ระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง
![]() |

แผนภูมิที่ 9 การแบ่งประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจตามงานในระดับอาชีพ
ที่มา : Dudley-Evans and St. John , Development in ESP: A
multi-disciplinary approach, 2nded. (Cambridge:
Cambridge University Press, 2000), 6-7.
ดูเลย์-อีวานส์ และ เซนต์จอห์น (Dudley-Evans
and St. John ,
2000: 6-7) ได้แบ่งประเภทของ ESP ออกเป็น 2
ประเภทใหญ่ๆ เช่นเดียวกับโรบินสัน (1991)
คือภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษา (EAP) และภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพ (EOP)
แต่ได้เพิ่มเติมในรายละเอียดของสาขาวิชาและตามงานในระดับอาชีพดังนี้
ภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษา (EAP) นั้นจะมีสาขาวิชาหลักๆ คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารแพทย์ กฎหมาย
ธุรกิจ การเงิน การธนาคาร เศรษฐศาสตร์ บัญชี และการบริหารธุรกิจ
สำหรับภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพ (EOP) นั้นเป็นการเรียนระดับวิชาชีพ ไม่ใช่การเรียนเพื่อการศึกษาหรือวิชาการ
ซึ้งในสายวิชานี้จะรวมไปถึงการศึกษาในระดับอาชีวศึกษา
หรือการศึกษาที่ไม่ใช่งานในระดับวิชาชีพ (Non-Professional) เช่นการทำงานหรือฝึกงานก่อนการปฏิบัติงานจริง (Pre-Work) ส่วนภาษาอังกฤษเพื่อการอาชีวศึกษา
(EVP) นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2
ประเภทคือภาษาอังกฤษระดับอาชีวศึกษา (Vocational English) ซึ้งเกี่ยวข้องกับการฝึกใช้ภาษาอังกฤษสำหรับอาชีพเฉพาะสาขา
และภาษาอังกฤษก่อนระดับอาชีวศึกษา (Pre-Vocational English) ซึ่งหมายถึงการฝึกภาษาในเรื่องต่างๆ
ทั่วไปเพื่อเตรียมตัวในการประกอบอาชีพ เช่นวิธีการสมัครงาน ทักษะการสัมภาษณ์งาน
เป็นต้น สำหรับภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ (EBP) นั้น
มีขอบเขตกว้างขวางและเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษทั่วไปค่อนข้างมาก
แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
นอกจากนี้ดัดลีย์-อีวานส์ และ
เซนต์จอห์น (Dudley-Evans
and St. John ,
2000: 6-7) ยังกล่าวถึงความแตกต่างระกว่างการเรียนเพื่อการศึกษา (Academic
purposes) กับการเรียนเพื่ออาชีพ (Occupational,
professional purposes) คือวัตถุประสงค์ในการเรียนนั่นเอง
เช่นนักเรียนแพทย์จะเรียนภาษาอังกฤษด้านวิชาการ (Academic purposes) เพื่อการศึกษาและเป็นความรู้ทางวิชาการและเรียนรู้ภาษาอังกฤษสำหรับปฏิบัติหน้าที่แพทย์เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ
(Occupational, professional purposes)
เช่นการฝึกปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ในโรงพยาบาล เป็นต้น
ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า
ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจโดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ประเภทกว้างๆ
คือภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษา (EAP) และภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพ (EOP)
โดยดูจากจุดประสงค์ในการเรียนว่าเป็นการเรียนเพื่อจุดประสงค์ในการประกอบอาชีพ
หรือจุดประสงค์เพื่อการศึกษาด้านวิชาการทั้งนี้นำความรู้ภาษาอังกฤษที่ได้ไปใช้ในการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
น็อกซ์ (Knox, 1999: 42) กล่าวว่า การวิเคราะห์ความต้องการจะสัมพันธ์กับการพัฒนาหลักสูตร
และได้เสนอแนวทางในการวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษดังนี้
1. การวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษรูปแบบเป็นทางการ
สามารถ ทำการวิเคราะห์จาก
1.1 สัมภาษณ์ผู้เรียน ผู้สอน ผู้บริหาร
สถาบันการศึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญ
1.2
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามผู้เรียน ผู้สอน ผู้บริหารการศึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญ
1.3 ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.4 ศึกษางานวิจัยต่อเนื่องที่เกี่ยวข้อง
1.5 สังเกตสถานการณ์การเรียนการสอนในชั้นเรียน
2.
การวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษรูปแบบไม่เป็นทางการโดยการวิเคราะห์จาก
2.1 คุยกับผู้เรียน ผู้สอน ผู้บริหาร
สถาบันการศึกษาหรือบุคคล
2.2 ศึกษาหาข้อมูลจากหนังสือ ตำราต่างๆ
2.3 เชิญผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ
มาพูดคุย
2.4 สังเกตสถานการณ์การเรียนการสอนในชั้นเรียน
ฮัชชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson
and Waters, 1999: 21-23) ได้แบ่งการวิเคราะห์ความต้องการเป็น 2
ประเภทคือ
1. ความต้องการเป้าหมาย (Target
needs) ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ประการคือ
1.1
ความจำเป็นที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ (Necessities) คือความจำเป็นที่ผู้เรียนจะต้องนำความรู้ภาษาอังกฤษไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
เช่น นักธุรกิจจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเพื่อทำธุรกิจ
1.2 ความต้องการเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่รู้
หรือมีความสามารถน้อย (Lacks) เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ว่าผู้เรียนขาดทักษะใดบ้างผู้สอนจะได้เพิ่มเติมในสิ่งที่ผู้เรียนขาด
เป็นการนำความสามารถของผู้เรียนที่มีอยู่เพิ่มเติมกับสิ่งที่ขาดไปมารวมกัน
1.3 ความต้องการเพิ่มเติมของผู้เรียน
(Wants)
เป็นความต้องการที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคลซึ่งอาจจะแตกต่างจากกลุ่มของผู้เรียน
เช่น ความต้องการทักษะการพูดเพื่อเจรจากับลูกค้าทางโทรศัพท์ เป็นต้น
2.
ความต้องการในการเรียนรู้ (Learning needs) คือความต้องการของผู้เรียนซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจในสิ่งที่เรียน
เช่น ความต้องการที่จะเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง
หรือการต้องการเรียนเพื่อเลื่อนตำแหน่ง
ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า การวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียนนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะชี้ให้เห็นถึงองค์ประกอบในการร่างหลักสูตรการสอน
ผู้สอนจะต้องรู้ว่าผู้เรียนต้องการเรียนเพื่อนำความรู้ไปใช้เพื่อจุดประสงค์ใด
และต้องการจะเรียนรู้ในสิ่งใดบ้าง โดยออกแบบการวิเคราะห์ความต้องการเพื่อเก็บข้อมูล
และนำข้อมูลมาออกแบบการสอน และผลิตสื่อการสอนที่เหมาะสมตามความต้องการของผู้เรียน เพื่อให้การจัดกระบวนการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจได้ผลตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้และสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
การเลือกและการเตรียมสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
ซินฮา
และซาดอร์รา (Sinha and
Sadorra, 1991 : 47-50, อ้างถึงใน ดาราณี ตันติวงค์ไชยชาญ, 2537: 45) ได้กล่าวถึงกระบวนการเตรียมและการเลือกสื่อสำหรับวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจไว้
ดังนี้
1. วิเคราะห์ความต้องการผู้เรียนในการเตรียมผลิตสื่อการสอน
2. การจัดทำวัตถุประสงค์เฉพาะตามสื่อการสอน
3. การใช้รูปแบบเรียบเรียงสื่อการสอน
รูปแบบที่กำหนดให้จัดเตรียมเค้าโครงทางทฤษฏีสำหรับการเรียบเรียงและการนำเสนอสื่อการสอนโดยผู้ที่เขียนสื่อจำนำรูปแบบดังกล่าวไปใช้
ซึ่งเป็นการนำรูปแบบที่มีอยู่ไปใช้ให้สัมพันธ์กับการออกแบบสื่อการเรียน
4. การจัดเรียบเรียงบทเรียนจากง่ายที่สุดไปหาบทเรียนที่สลับซับซ้อนที่สุด
5.
การจัดข้อมูลทางภาษา (input) ให้สอดคล้องกับทักษะที่ผู้เรียนต้องการเพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาทั้งทักษะการรับสาร
และทักษะการส่งสารในแต่ละหน่วยดังตัวอย่างรูปแบบที่เสนอในแผนภูมิที่ 10

![]() |
|
![]() |
|
![]() |
แผนภูมิที่ 10 ตัวอย่างรูปแบบทางทฤษฏีเพื่อการเรียบเรียงการออกแบบสื่อการสอน
ที่มา : ดารณี ตัณติวงศ์ไชยชาญ, “การนำเสนอโครงการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพสำหรับครูภาษาอังกฤษในวิทยาลัยนาฏศิลปะ
สังกัดกองศิลปศึกษา กรมศิลปากร” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2543), 46.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น