วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ(teaching English for specific purposes)

แนวคิดเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเฉพะกิจ
                  ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจมีความสำคัญมากขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมาโดยจุดเริ่มต้นของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ เกิดขึ้นจากการขยายตัวทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความเจริญก้าวหน้าทางด้านการสื่อสาร ทำให้มีความต้องการข้อมูลที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นทำให้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันไม่เพียงพอจึงจำเป็นต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษเฉพาะสาขาเพราะบุคคลต่างอาชีพมีความต้องการใช้ภาษาอังกฤษในเนื้อหาที่แตกต่างกันตามกลุ่มอาชีพ เช่น แพทย์ พ่อค้า เป็นต้น (Hutchinson and Waters, 1989 : 1-5) ซึ่งถ้าผู้เรียนมีความต้องการและความสนใจต่างกัน    และผู้เรียนได้เรียนตามที่ตนต้องการจะทำให้ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะเรียนและประสบความสำเร็จในการเรียนมากขึ้น (Nunan, 1988: 35-42)  ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1989 : 8) กล่าวว่า การสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจกำเนิดและพัฒนามาจากปัจจัย  3  ประการ  คือ
                  1. การขยายตัวของปริมาณความต้องการในการใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับ                     ความต้องการเฉพาะสาขา
                  2. การพัฒนาการของการศึกษาด้านภาษาศาสตร์
                  3. จิตวิทยาการศึกษาที่เน้นความสำคัญที่ตัวผู้เรียน (Student centered approach)
                  บรีกเกอร์ (Brieger, 1995: 54, อ้างถึงใน ดาว แสงบุญ, 2543: 30) กล่าวว่าการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจแตกต่างจากการสอนภาษาอังกฤษทั่วไป เนื่องจากภาษาอังกฤษเฉพาะกิจสะท้อนความต้องการที่แตกต่างกันของกลุ่มผู้เรียนหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มผู้เรียนที่กำลังศึกษาเพื่อเตรียมตัวสู่การประกอบอาชีพในอนาคต (Pre-service students) และผู้เรียนที่ประกอบอาชีพแล้ว (In-service professionals) ซึ่งประกอบด้วยการศึกษาเนื้อหากว้างๆ ทั่วไปจนถึงการฝึกอบรมในสถานการณ์เฉพาะ นอกจากนี้ได้เสนอเพิ่มเติมว่าภาษาอังกฤษเฉพาะกิจเกิดจากองค์ประกอบดังนี้
                  1. กลวิธีในการสอนภาษาอังกฤษที่ทำการสอนองค์ความรู้ด้านภาษาและทักษะทางภาษาในขอบเขตเนื้อหาเฉพาะโดยใช้กิจกรรมการสอนเพื่อการสื่อสาร
                  2. การฝึกอบรมด้านการสื่อสารเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของกระบวนการในการสื่อสารทั้งหมดโดยเน้นเนื้อหาทั้งทางด้านรูปแบบของภาษาและกระบวนการสื่อสาร
                  3. หลักในการเรียนการสอนที่ใช้คือ ใช้บริบทของเนื้อหาเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ                           ในสาขาวิชาเฉพาะด้าน
                  โดยสรุป ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจเกิดขึ้นจากความต้องการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร  และเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเฉพาะสาขาอาชีพโดยเน้นที่ความสำคัญของผู้เรียน และความต้องการในการนำภาษาอังกฤษไปใช้ในงานอาชีพได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
             3.2 ความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ 
                  การเรียนการสอนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษเฉพาะกิจเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน จึงมีผู้ให้ความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจไว้ดังนี้  ฮัทชินสันและวอเทอร์ส  (Hutchinson and Waters, 1989: 13-19) ได้ให้ความหมายของ ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่าเป็นแนวทางใหม่ในการเรียนการสอนภาษาซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ
                  1. ความต้องการของผู้เรียน
                  2. ความคิดใหม่เกี่ยวกับภาษาที่ยึดจุดประสงค์ในการสอนภาษาตามสถานการณ์เป้าหมาย
                  3. ความคิดใหม่เกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาโดยที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพได้  
                  สตรีเวนส์ (Strevens, 1987 : 87) กล่าวว่าการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจเป็นการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่ไม่ได้มุ่งเน้นเนื้อหาทางด้านวัฒนธรรมหรือวรรณคดีแต่มุ่งเน้นให้ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเฉพาะกลุ่มหรือเกี่ยวข้องกับงานเฉพาะด้าน (Specific job) หรือวิชาเฉพาะสาขา (Specific subject) หรือเป็นความต้องการที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ(Specific purposes)โรบินสัน (Robinson 1991: 1) ได้กล่าวถึงภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่า ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจเป็นกิจกรรมที่สำคัญต่อโลกปัจจุบัน  ซึ่งรวมถึงการศึกษา การฝึกอบรมและการฝึกฝนโดยครอบคลุมขอบเขตความรู้ที่สำคัญ 3 ประการคือ
                  1. ความรู้ด้านภาษา
                  2. วิชาเฉพาะสาขา
                  3. ความสนใจเฉพาะสาขาวิชาของผู้เรียน
                  นอกจากนี้ โรบินสัน (Robinson, 1980: 13) สรุปความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่าเป็นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่มีวัตถุประสงค์ชัดเจน โดยมุ่งที่ความสำเร็จในการแสดงออกถึงบทบาทต่างๆ ที่จำเป็นในการศึกษาหรือทางวิชาชีพและขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียน ดังนั้นหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจจึงแตกต่างกันในเรื่องของทักษะ หัวเรื่อง สถานการณ์หน้าที่ทางภาษาและตัวภาษา การเรียนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจมีทั้งก่อนเข้าสู่บทบาททางอาชีพ  หรือการศึกษาสาขานั้นๆ หรือเป็นการเรียนควบคู่ไปพร้อมกับการเรียนวิชาชีพหรือวิชาการแขนงนั้นๆ หรือเป็นการเรียนสำหรับผู้ที่มีความรู้ความสามารถในงานอาชีพ หรือในแนวทางวิชาการแขนงนั้นๆเป็นอย่างดีแล้วในภาษาแม่ แต่จำเป็นต้องแสดงบทบาททางอาชีพหรือทางวิชาการเหล่านั้นด้วยภาษาอังกฤษ จากการให้ความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจตามแนวคิดของนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายไว้ดังนี้  
                  นอส  และรอดเฟอร์ส (Noss and Rodfers, 1976: 5)ได้กล่าวถึงความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่า  เป็นเนื้อหาของภาษาอังกฤษที่เลือกมาสนองวัตถุประสงค์ความต้องการของผู้เรียนเฉพาะกลุ่ม   ซึ่งสอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ  มันบี (Munby, 1978: 2) ที่ได้กล่าวว่า ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ หมายถึง ภาษาอังกฤษที่จัดเนื้อหาและอุปกรณ์ในการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ความต้องการในการสื่อสารของผู้เรียน  นอกจากนี้  แมคกี้ (Mackey, 1978: 21-37) ได้กล่าวถึงภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่า  เป็นการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศโดยมีจุดมุ่งหมายที่ใช้ประโยชน์ได้จริง  หมายความว่าสามารถนำไปใช้เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือ  ดังนั้นจุดหมายปลายทางของการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจจึงไม่ได้อยู่ที่ความเข้าใจในบทเรียนนั้น  แต่เป็นความเข้าใจเพื่อนำแนวทางไปใช้ในอนาคต 
               สรุปได้ว่าภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ คือภาษาอังกฤษที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนในสาขาอาชีพและความถนัดที่แตกต่างกัน โดยผู้เรียนได้ใช้ความรู้ด้านภาษาเป็นพื้นฐานในการเรียนโดยที่ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจมีขอบเขตที่จำกัดกว่าภาษาอังกฤษทั่วไป ประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจจากแนวคิดที่ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ   เป็นการสอนภาษาอังกฤษที่สอดคล้องและตอบสนองความต้องการของผู้เรียน นักการศึกษาจึงจำแนกภาษาอังกฤษเฉพาะกิจออกเป็นประเภทต่างๆ


             3.3 ประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
                  โรบินสัน (Robinson, 1980) นำเสนอแนวคิดประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจไว้ดังนี้



















แผนภูมิที่  5 ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจตามแนวคิดของ โรบินสัน
ที่มา : Pauline C. Robinson, ESP Today : A Practional’s Guide (London: Prentice Hall, 1991), 13.

                  จากภาพ  แสดงถึงการกำหนดลักษณะเฉพาะของการใช้ภาษา การกำหนดทักษะ  และภาระงาน เช่น การสอนอ่านเอาความนั้นควรมีเนื้อหาที่เหมาะสมกับสาขาวิชาหรืออาชีพของผู้เรียน   เช่น  การสอนแพทย์ หรือการสอนนักเรียนที่เรียนฟิสิกส์ การกำหนดเนื้อหานั้นควรเหมาะสมกับนักเรียนที่มีความสามารถในระดับสูง


































แผนภูมิที่ 6 การจำแนกประเภทของการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจตามแนวคิดของสตรีเวนส์
ที่มา : Streven, “Special-Purpose Language Learning: A Perspective,” Language Teaching and Linguistics 10, 3 (1997):155-156.






                  ในบทความเรื่อง ภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุด้านวิชาการ (EAP) จอร์แดน (Jordan, 1989) จำแนกประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ (ESP) ดังนี้


















แผนภูมิที่ 7 การจำแนกประเภทภาษาอังกฤษเฉพาะกิจตามแนวคิดของจอร์แดน
ที่มา : Robert R. Jordan, “English For Academic Purposes,’’ Language Teaching 22, 3 (1989): 150.

                  จากแผนภูมิที่ 7 จะเห็นว่า  จอร์แดน (Jordan, 1989) มีความเห็นว่า ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ (EOP) เป็นแขนงหนึ่งของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ(ESP)  และแตกต่างจาก  ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ(EAP) และจุดประสงค์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (EST)  
                  ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1989: 16-19) ได้แบ่งภาษาอังกฤษเฉพาะกิจออกเป็น 3 ประเภท   คือ
                  1. ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (English for Science and Technology: EST)   ซึ่งแบ่งเป็นสาขาย่อยดังนี้
                     1.1 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ (English for Academic Purposes: EAP)  เช่น  ภาษาอังกฤษสำหรับการศึกษาทางการแพทย์  (English  for  Medical  Studies)
                     1.2 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ (English for Occupational Purposes: EO เช่น  ภาษาอังกฤษสำหรับช่างเทคนิค  (English for Technicians)
                  2. ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ (English for Business and Economics: EBE) ซึ่งแบ่งเป็นสาขาย่อยดังนี้
                     2.1 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ (English for Academic Purposes: EAP) เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ (English for Economics)
                     2.2 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ (English for Occupational Purposes: EOP) เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับเลขานุการ (English for Secretaries)
                  3. ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาสังคมศาสตร์ (English for Social Science: ESS) ซึ่งแบ่งเป็นสาขาย่อยดังนี้
                     3.1 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ (English for Academic Purposes: EAP) เช่น ภาษาอังกฤษด้านจิตวิทยา (English for Psychology)
                     3.2 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ (English for Occupational Purposes :EOP) เช่น ภาษาอังกฤษเพื่อการสอน  (English  for Teaching)
                  จอห์น (John, 1990, quoted in Robinson, 1991: 4) จำแนกภาษาอังกฤษเฉพาะกิจออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
                  1. ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ ซึ่งแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ
                           1.1 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการทั่วไป (General English for Academic Purposes)
                      1.2 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์เฉพาะสาขา (Discipline Specific) เป็นการศึกษา ระดับปริญญาตรี
                  2. ภาษาอังกฤษเพื่อความเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพชั้นสูง (Professional) ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
                      2.1 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านธุรกิจ
                      2.2 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านสังคม
                      2.3 ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านเทคโนโลยี
                  3. ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพระยะสั้น (Vocational) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
                      3.1 ภาษาอังกฤษเพื่อวิชาชีพในฐานะภาษาที่สอง (Vocational English as a Second Language:  VESL)
                      3.2 ภาษาอังกฤษเพื่อวิชาชีพในระดับอ่านออกเขียนได้ (Literacy)
                  อีเวอร์ (Ewer, 1979: 46-47) ได้แบ่งภาษาอังกฤษเฉพาะกิจด้านอาชีวศึกษา (English for Vocational Purpose= EVP) ไว้ดังนี้ ภาษาอังกฤษช่างไฟฟ้า ช่างก่อสร้าง เลขานุการ   พนักงานบริษัท  พนักงานบัญชี พนักงานธนาคาร พนักงานโรงแรม  พนักงานสายการบิน  พนักงานเกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว พนักงานเกี่ยวข้องกับพนักงานควบคุมจราจรทางอากาศ พนักงานทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์
                  โรบินสัน (Robinson, 1991: 2-3) ได้จำแนกภาษาอังกฤษเฉพาะกิจออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
                  1. ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ (English for Occupational Purposes: EOP) ซึ่งเน้นถึงความต้องการที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและการฝึกอบรม
                  2. ภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาการ (English for Academic Purposes: EAP)  ซึ่งเน้นถึงความต้องการด้านการศึกษาจากการจำแนกประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
                  สรุปได้ว่าการจำแนกตามจุดประสงค์ของการนำภาษาอังกฤษไปใช้ในแต่ละสาขาอาชีพ โดยนำภาษาอังกฤษไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านวิชาการและด้านวิชาชีพ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการนำภาษาอังกฤษไปใช้ในการศึกษาหรือการประกอบอาชีพการจัดหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจจากการจำแนกประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ จะเห็นได้ว่าการจัดหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจสามารถจัดได้ 2  แบบ คือ หลักสูตรการสอนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านวิชาการ และเพื่อจุดประสงค์ด้านวิชาชีพ สำหรับหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจนั้นโดยภาพรวมคือการระบุเนื้อหาให้แคบลงกว่าเนื้อหาทั้งหมดของภาษาที่เรียน เช่นภาษาอังกฤษสำหรับนักธุรกิจ   ภาษาอังกฤษสำหรับเลขานุการ ภาษาอังกฤษสำหรับช่างเทคนิค เป็นต้น              
                  นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงการจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจไว้ดังนี้
                  โรบินสัน (Robinson,1991: 2-4) กำหนดเกณฑ์ของวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจดังนี้
                  1. การสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน นั่นคือผู้เรียนเรียนภาษาไม่เพียงเพราะสนใจในภาษาอังกฤษหรือวัฒนธรรมของภาษา แต่ยังรวมถึงเรียนภาษาอังกฤษเพื่อประกอบอาชีพและการศึกษาด้วยเช่นกัน
                  2. การกำหนดหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ กำหนดขึ้นจากการวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียน (Needs analysis) เพื่อชี้ชัดว่าผู้เรียนมีความต้องการเรียนภาษาอังกฤษและใช้ภาษาอังกฤษในด้านใดบ้าง
                  3. หลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ กำหนดขึ้นสำหรับผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ในการเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษมาแล้วไม่ใช่หลักสูตรสำหรับผู้เริ่มเรียน
                  4. ในชั้นเรียนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจควรประกอบด้วยผู้เรียนที่มีจุดประสงค์หรือเป้าหมายในการเรียนรู้เดียวกันหรือคล้ายคลึงกันเพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ด้วยกัน
                  นอกจากนี้ โรบินสัน (Robinson, 1991: 34-40) ได้เสนอแนวทางในการจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่าอาจยึดแนวทางจากหลักสูตรต่อไปนี้
                  1. หลักสูตรการสอนที่เน้นเนื้อหาทางภาษา (Content-based syllabus) โดยแบ่งออกเป็น  2  หลักสูตร ดังนี้
                     1.1 หลักสูตรการสอนที่เน้นเนื้อหาทางภาษาโดยเน้นรูปแบบภาษา (Language form) แนวคิดทางภาษา (Language notion) และหน้าที่ทางภาษา (Language function) เช่น ภาษาอังกฤษเทคนิค ภาษาอังกฤษสำหรับวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
                     1.2 หลักสูตรการสอนที่เน้นเนื้อหาทางภาษาโดยเน้นสถานการณ์ (Situation) และหัวข้อ (Topic) เช่น  ภาษาอังกฤษธุรกิจ ภาษาอังกฤษสำหรับเทคโนโลยี เป็นต้น
                  2.  หลักสูตรการสอนที่เน้นทักษะทางภาษา (Skill-based syllabus) เป็นหลักสูตรที่เน้นการใช้ทักษะทางภาษา 4 ทักษะ คือ ทักษะการฟัง  การพูด  การอ่าน  และการเขียน  โดยอาจจะเน้นเรื่องรูปแบบภาษาและหน้าที่ของภาษา
                  3. หลักสูตรการสอนที่เน้นกระบวนการสอน (Method-based syllabus) โดยแบ่งออกเป็น 2 หลักสูตร คือ
                     3.1 หลักสูตรการสอนที่เน้นกระบวนการสอนโดยคำนึงถึงกระบวนการ (Process)   ในการเรียนการสอนที่จะเกิดขึ้นในชั้นเรียนระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
                     3.2 หลักสูตรการสอนที่เน้นกระบวนการสอนโดยคำนึงถึงภาระงาน (Task) หรือกิจกรรมการเรียน (Activity) ที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้
                  วันเพ็ญ ทับทิมทอง (2536) กล่าวถึงการจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ ดังนี้
                  1. เป็นรายวิชาที่จัดขึ้นเพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะของผู้เรียน
                  2. มีเนื้อหาเกี่ยวกับสาขาวิชา อาชีพหรือกิจกรรมในสาขาวิชา
                  3. เน้นลักษณะภาษาทั้งทางด้านโครงสร้างไวยากรณ์ คำศัพท์ หน้าที่และการใช้ภาษาซึ่งเหมาะสมกับกิจกรรมของสาขาวิชา
                  4. ตรงกันข้ามกับภาษาอังกฤษทั่วไป
                  อัจฉรา วงศ์โสธร  (2539: 23) กล่าวถึง ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจในมุมมองด้านวัตถุประสงค์ของผู้เรียนว่า การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจมีจุดมุ่งหมายกว้าง ๆประการ คือ
                  1. เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการศึกษาและวิชาการ
                  2. เพื่อตอบสนองความต้องการด้านอาชีพ
                  นอกจากนี้ ได้เสนอว่าภาษาอังกฤษเฉพาะกิจไม่ใช่ภาษาที่คิดขึ้นเป็นพิเศษ  เพียงแต่นำภาษาธรรมดามาใช้ในขอบเขตเฉพาะวิชาชีพ เพื่อสื่อความหมายในวงอาชีพเดียวกันอย่างได้ผลมากที่สุด  และเป็นประโยชน์ที่สุด
         ณัชยา เฉลยทรัพย์ (2539: 229) กล่าวว่า สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ มี 4 ประการ คือ  ผู้เรียน  เอกสารการสอน  และเนื้อหา  ผู้สอนและข้อจำกัด  และวิธีการบริหารหลักสูตร
             3.4 การออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
                  ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1989: 21-23) กล่าวว่า  การออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจนั้น   ต้องประกอบด้วยปัจจัยต่อไปนี้










Oval: อะไร
ลักษณะภาษา
















แผนภูมิที่  8  ปัจจัยที่ผลกระทบต่อกระบวนการออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
ที่มา : Thomas Hutchinson and Alan Waters, English for Specific Purposes (Oxford: Oxford University Press, 1989),22.

                  ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1989: 21-23) กล่าวว่า การออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจว่า เป็นแนวคิดที่จะสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ และออกแบบรายวิชาให้เหมาะสมกับกลุ่มของผู้เรียนที่แตกต่างกัน โดยผู้ออกแบบรายวิชาต้องคำนึงถึงคำถามเบื้องต้นต่อไปนี้
                  1. ทำไมผู้เรียนต้องการเรียน
                  2. ใครเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ เช่น ผู้เรียนผู้สอน หรือสถานประกอบการ    เป็นต้น
                  3. การเรียนรู้เกิดขึ้นที่ไหน ต้องเตรียมอะไรบ้างและข้อจำกัดคืออะไร
                  4. การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อไรและจะจัดสรรเวลาอย่างไร
                  5. ผู้เรียนต้องการเรียนรู้อะไร รูปแบบภาษาที่ต้องการคืออะไร   จะประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียนอย่างไร และขอบเขตของหัวเรื่องครอบคลุมเนื้อหาอะไรบ้าง
                  6. ผู้เรียนสามารถประสบความสำเร็จในการเรียนได้อย่างไร  ทฤษฎีการเรียนรู้ของรายวิชานี้ คืออะไร และมีวิธีการสอนแบบใด
                  จากคำถามเหล่านี้ทำให้เกิดปัจจัยที่ส่งผลต่อการออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ คือ
                  1. เนื้อหาภาษา (Language descriptions) ที่ใช้ในการสอน ซึ่งนำไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้ เช่น โครงสร้างภาษา หน้าที่ทางภาษา เป็นต้น
                  2. ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theories) เป็นแนวคิดทฤษฎีพื้นฐานสำหรับวิธีสอนที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจในการเรียนรู้ของมนุษย์
                  3. การวิเคราะห์ความต้องการ (Needs analysis) เป็นการตอบคำถามว่ากลุ่มเป้าหมาย คือใคร  ต้องการเรียนรู้อะไร  สถานการณ์ที่ต้องเรียนรู้คืออะไร และต้องเรียนรู้เมื่อไร โดยวิเคราะห์ทั้งภาษาเป้าหมายและสถานการณ์การเรียนรู้  ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของกระบวนการออกแบบรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
                  ฮัทชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1989: 21-23) ได้แยกการวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษออกเป็น  2  ประเภท คือ
                  1. ความต้องการเป้าหมาย (Target needs) จำแนกเป็น 3 ประการคือ
                     1.1 ความจำเป็นที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ คือการที่ผู้เรียนจะนำภาษาอังกฤษไปใช้ในสถานการณ์เป้าหมายที่เป็นหลักสูตรที่จัดไว้ตามความจำเป็นของผู้เรียน เช่นนักธุรกิจต้องเรียนจดหมายธุรกิจเพื่อจะติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                     1.2 ความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อผู้เรียนมีความสามารถอยู่ในระดับต่ำ
                     1.3 ความต้องการเพิ่มเติมของผู้เรียน เป็นความต้องการเฉพาะของบุคคลขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความสนใจของผู้เรียน เช่น ต้องการมีความสามารถด้านการพูด  เพื่อจะได้ทำงานกับชาวต่างประเทศ
                  2. ความต้องการในการเรียนรู้ (Learning needs) คือ   ความต้องการในการเรียนรู้ที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการเรียนรู้ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตนต้องการ เช่น ต้องการเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น
                  ดูเลย์ อีวานส์ และ จอน (Dudley-Evans St.John, 1998: 4-5) มีความคิดเห็นว่าคำอธิบายของ วอเทอร์ส ฮัทชินสัน สตรีเวน โรบินสัน (Waters Hutchinson, Streeven Robinson) นั้น ยังมีจุดอ่อน  เขาจึงนำเสนอความหมายของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ โดยกำหนดคุณลักษณะที่เหมือนกันกับการสอนภาษาอังกฤษโดยทั่วไป  คือ พัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน ในการสอนนั้นสนับสนุนสาขาการเรียนของผู้เรียน โดยมีคำศัพท์  สำนวน โครงสร้าง ไวยากรณ์ ทักษะ บทบาท และสถานการณ์ที่เหมาะสมกับกิจกรรมของผู้เรียน  คุณลักษณะที่แตกต่างของภาษาอังกฤษโดยทั่วไปคือ การพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะกิจนั้นสอดคล้องกับสาขาการเรียนของผู้เรียน  การพัฒนาหลักสูตรนั้นเหมาะกับนักเรียนที่เป็นผู้ใหญ่   หรือนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย  หรืออาชีวศึกษา  หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพ  และสุดท้ายคือ  การพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนได้ทุกระดับ คือ ระดับต้น  ระดับกลาง และระดับสูง























แผนภูมิที่ 9 การแบ่งประเภทของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจตามงานในระดับอาชีพ
ที่มา : Dudley-Evans and St. John, Development in ESP: A multi-disciplinary approach, 2nded. (Cambridge: Cambridge University Press, 2000), 6-7.

                  ดูเลย์-อีวานส์ และ เซนต์จอห์น (Dudley-Evans and St. John, 2000: 6-7) ได้แบ่งประเภทของ ESP ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ เช่นเดียวกับโรบินสัน (1991) คือภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษา (EAP) และภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพ (EOP) แต่ได้เพิ่มเติมในรายละเอียดของสาขาวิชาและตามงานในระดับอาชีพดังนี้
                  ภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษา (EAP) นั้นจะมีสาขาวิชาหลักๆ คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารแพทย์ กฎหมาย ธุรกิจ การเงิน การธนาคาร เศรษฐศาสตร์ บัญชี และการบริหารธุรกิจ
                  สำหรับภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพ (EOP) นั้นเป็นการเรียนระดับวิชาชีพ ไม่ใช่การเรียนเพื่อการศึกษาหรือวิชาการ ซึ้งในสายวิชานี้จะรวมไปถึงการศึกษาในระดับอาชีวศึกษา หรือการศึกษาที่ไม่ใช่งานในระดับวิชาชีพ (Non-Professional) เช่นการทำงานหรือฝึกงานก่อนการปฏิบัติงานจริง  (Pre-Work) ส่วนภาษาอังกฤษเพื่อการอาชีวศึกษา (EVP) นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือภาษาอังกฤษระดับอาชีวศึกษา (Vocational English) ซึ้งเกี่ยวข้องกับการฝึกใช้ภาษาอังกฤษสำหรับอาชีพเฉพาะสาขา และภาษาอังกฤษก่อนระดับอาชีวศึกษา (Pre-Vocational English) ซึ่งหมายถึงการฝึกภาษาในเรื่องต่างๆ ทั่วไปเพื่อเตรียมตัวในการประกอบอาชีพ เช่นวิธีการสมัครงาน ทักษะการสัมภาษณ์งาน เป็นต้น สำหรับภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ (EBP) นั้น มีขอบเขตกว้างขวางและเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษทั่วไปค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
                  นอกจากนี้ดัดลีย์-อีวานส์ และ เซนต์จอห์น (Dudley-Evans and St. John, 2000: 6-7) ยังกล่าวถึงความแตกต่างระกว่างการเรียนเพื่อการศึกษา (Academic purposes) กับการเรียนเพื่ออาชีพ (Occupational, professional purposes) คือวัตถุประสงค์ในการเรียนนั่นเอง เช่นนักเรียนแพทย์จะเรียนภาษาอังกฤษด้านวิชาการ (Academic purposes) เพื่อการศึกษาและเป็นความรู้ทางวิชาการและเรียนรู้ภาษาอังกฤษสำหรับปฏิบัติหน้าที่แพทย์เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ (Occupational, professional purposes) เช่นการฝึกปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ในโรงพยาบาล เป็นต้น
                  ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า ภาษาอังกฤษเฉพาะกิจโดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ประเภทกว้างๆ คือภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษา (EAP) และภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพ (EOP) โดยดูจากจุดประสงค์ในการเรียนว่าเป็นการเรียนเพื่อจุดประสงค์ในการประกอบอาชีพ หรือจุดประสงค์เพื่อการศึกษาด้านวิชาการทั้งนี้นำความรู้ภาษาอังกฤษที่ได้ไปใช้ในการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด
                  การวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
                  น็อกซ์ (Knox, 1999: 42) กล่าวว่า การวิเคราะห์ความต้องการจะสัมพันธ์กับการพัฒนาหลักสูตร และได้เสนอแนวทางในการวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษดังนี้
                  1. การวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษรูปแบบเป็นทางการ สามารถ ทำการวิเคราะห์จาก
                     1.1 สัมภาษณ์ผู้เรียน ผู้สอน ผู้บริหาร สถาบันการศึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญ
                     1.2 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามผู้เรียน ผู้สอน ผู้บริหารการศึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญ
                     1.3 ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
                     1.4 ศึกษางานวิจัยต่อเนื่องที่เกี่ยวข้อง
                     1.5 สังเกตสถานการณ์การเรียนการสอนในชั้นเรียน
                  2. การวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษรูปแบบไม่เป็นทางการโดยการวิเคราะห์จาก
                     2.1 คุยกับผู้เรียน ผู้สอน ผู้บริหาร สถาบันการศึกษาหรือบุคคล
                     2.2 ศึกษาหาข้อมูลจากหนังสือ ตำราต่างๆ
                     2.3 เชิญผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ มาพูดคุย
                     2.4 สังเกตสถานการณ์การเรียนการสอนในชั้นเรียน
                  ฮัชชินสันและวอเทอร์ส (Hutchinson and Waters, 1999: 21-23) ได้แบ่งการวิเคราะห์ความต้องการเป็น 2 ประเภทคือ
1. ความต้องการเป้าหมาย (Target needs) ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ประการคือ
                     1.1 ความจำเป็นที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ (Necessities) คือความจำเป็นที่ผู้เรียนจะต้องนำความรู้ภาษาอังกฤษไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น นักธุรกิจจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเพื่อทำธุรกิจ
                     1.2 ความต้องการเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ หรือมีความสามารถน้อย (Lacks) เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ว่าผู้เรียนขาดทักษะใดบ้างผู้สอนจะได้เพิ่มเติมในสิ่งที่ผู้เรียนขาด เป็นการนำความสามารถของผู้เรียนที่มีอยู่เพิ่มเติมกับสิ่งที่ขาดไปมารวมกัน
                     1.3 ความต้องการเพิ่มเติมของผู้เรียน (Wants) เป็นความต้องการที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคลซึ่งอาจจะแตกต่างจากกลุ่มของผู้เรียน เช่น ความต้องการทักษะการพูดเพื่อเจรจากับลูกค้าทางโทรศัพท์ เป็นต้น
        2. ความต้องการในการเรียนรู้ (Learning needs) คือความต้องการของผู้เรียนซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจในสิ่งที่เรียน เช่น ความต้องการที่จะเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง หรือการต้องการเรียนเพื่อเลื่อนตำแหน่ง
        ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า การวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียนนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะชี้ให้เห็นถึงองค์ประกอบในการร่างหลักสูตรการสอน ผู้สอนจะต้องรู้ว่าผู้เรียนต้องการเรียนเพื่อนำความรู้ไปใช้เพื่อจุดประสงค์ใด และต้องการจะเรียนรู้ในสิ่งใดบ้าง โดยออกแบบการวิเคราะห์ความต้องการเพื่อเก็บข้อมูล และนำข้อมูลมาออกแบบการสอน และผลิตสื่อการสอนที่เหมาะสมตามความต้องการของผู้เรียน เพื่อให้การจัดกระบวนการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจได้ผลตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้และสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
                  การเลือกและการเตรียมสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะกิจ
                  ซินฮา และซาดอร์รา (Sinha and Sadorra, 1991 : 47-50, อ้างถึงใน ดาราณี ตันติวงค์ไชยชาญ, 2537: 45) ได้กล่าวถึงกระบวนการเตรียมและการเลือกสื่อสำหรับวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะกิจไว้ ดังนี้
                  1. วิเคราะห์ความต้องการผู้เรียนในการเตรียมผลิตสื่อการสอน
                  2. การจัดทำวัตถุประสงค์เฉพาะตามสื่อการสอน
                  3. การใช้รูปแบบเรียบเรียงสื่อการสอน รูปแบบที่กำหนดให้จัดเตรียมเค้าโครงทางทฤษฏีสำหรับการเรียบเรียงและการนำเสนอสื่อการสอนโดยผู้ที่เขียนสื่อจำนำรูปแบบดังกล่าวไปใช้  ซึ่งเป็นการนำรูปแบบที่มีอยู่ไปใช้ให้สัมพันธ์กับการออกแบบสื่อการเรียน
                  4. การจัดเรียบเรียงบทเรียนจากง่ายที่สุดไปหาบทเรียนที่สลับซับซ้อนที่สุด
                  5. การจัดข้อมูลทางภาษา (input) ให้สอดคล้องกับทักษะที่ผู้เรียนต้องการเพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาทั้งทักษะการรับสาร และทักษะการส่งสารในแต่ละหน่วยดังตัวอย่างรูปแบบที่เสนอในแผนภูมิที่ 10











Rounded Rectangle: การนำเข้าสู่บทเรียน




















แผนภูมิที่ 10  ตัวอย่างรูปแบบทางทฤษฏีเพื่อการเรียบเรียงการออกแบบสื่อการสอน
ที่มา ดารณี ตัณติวงศ์ไชยชาญ, “การนำเสนอโครงการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพสำหรับครูภาษาอังกฤษในวิทยาลัยนาฏศิลปะ สังกัดกองศิลปศึกษา กรมศิลปากร(วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2543), 46.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น