วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ประวัติการสอนภาษา

ที่มาและแนวคิดในการสอนภาษาอังกฤษ 
วิธีสอนภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศย่อมมีวิวัฒนาการไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อตอบสนองสภาพเหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยได้รับอิทธิพลหรือแนวคิดมาจากนักภาษาศาสตร์ นักจิตวิทยา และนักการเมืองของวิธีสอนต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่ครูผู้สอนต้องศึกษาเรียนรู้ เพื่อจะได้นำมาปรับใช้ในการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามวิธีสอนแต่ละวิธีย่อมมีข้อดีข้อเสียหรือข้อจำกัดอยู่ในตัว  และไม่มีการสอนวิธีใดที่สมบูรณ์ที่สุด  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนที่จะต้องพยามศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อพิจารณาเลือกสรรส่วนดีของวิธีสอนแต่ละวิธีมาประสมประสานกันเพื่อนำมาใช้ให้เหมาะสมกับบทบาทของผู้เรียน  และตามจุดมุ่งหมายของผู้สอนที่ตั้งไว้ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้สอนควรศึกษาวิธีการสอนภาษาต่างประเทศแบบต่างๆ ซึ่งมีวิวัฒนาการตามลำดับดังนี้
        วิธีสอนภาษาอังกฤษที่มีอิทธิพลต่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (ESL) และภาษาต่างประเทศ (EFL) มีดังนี้
             1. การสอนแบบไวยากรณ์และแปล (grammar-translation method)
             2. วิธีสอนแบบตรง (direct method)
             3. วิธีสอนแบบฟัง-พูด (audio-lingual method)
             4. การสอนตามแนวทฤษฎีการเรียนแบบความรู้ความเข้าใจ (cognitive code-learning)
             5. การสอนตามแนวธรรมชาติ (natural approach)
             6. การสอนแบบเงียบ (silent way)
             7. การสอนแบบชักชวน (suggestopedia)
             8. การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (total physical response method)
             9. การสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ (community language learning)
             10. การสอนตามแนวสื่อสาร (communicative language teaching)

 การสอนแบบไวยากรณ์และแปล  Grammar-translation method
                 วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปลได้รับแนวคิดมาจากการสอนภาษากรีกและลาตินในศตวรรษที่ 19  จุดเน้นของการสอนวิธีนี้คือ การพัฒนาความสามารถในการอ่านวรรณคดีที่มีชื่อเสียงและการฝึกอ่านเขียนภาษาเป้าหมายให้ถูกต้อง ลักษณะเด่นของวิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปลคือ 
                  1. เน้นการเขียนที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ทางภาษา
                  2. ไวยากรณ์เป็นตัวชี้วัดว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
                  3. ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดที่เกี่ยวกับการแปลเป็นสิ่งสำคัญ
                  4. ครูใช้ภาษาแม่ในการเรียนการสอนและสามารถใช้พจนานุกรมได้ถ้าจำเป็น
                  5. ไม่เน้นทักษะ พูดและฟัง ซึ่งทำให้วิธีนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นวิธีที่ไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ภาษาเพื่อประโยชน์การดำรงชีวิต เคสเทน (Chastain 1976,pp.103-104)
ริชาร์ดและโรเจอร์ (Richards and Rodgers. 1995 : 3-5) กล่าวถึงความเป็นมาและลักษณะของวิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปลดังนี้   วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปลเริ่มแรกมีอิทธิพลต่อการเรียนภาษาต่างประเทศในยุโรปจากปี 1840-1940 และเป็นที่แพร่หลายทั่วโลกจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะการสอนภาษาต่างประเทศ ที่ต้องการให้ผู้เรียนเข้าใจวรรณคดีที่มีชื่อเสียงของเจ้าของภาษา ที่ผู้เรียนกำลังเรียนอยู่ในระดับวิทยาลัยจะยังคงนิยมใช้วิธีนี้วิธีสอนแบบนี้ เป็นการฝึกให้คนอ่านวรรณคดีมากกว่าจะเป็นวิธีการเรียนการสอนที่มีแนวคิดด้านภาษาศาสตร์ จิตวิทยา หรือทฤษฎีทางการศึกษารองรับ ลักษณะของวิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปลมีดังนี้
             1. จุดมุ่งหมายของการสอนภาษาต่างประเทศคือการเรียนภาษาเพื่ออ่านวรรณคดีของเจ้าของภาษานั้น ๆ เป็นวิธีการเรียนภาษาโดยเน้นกฎเกณฑ์ทางภาษาและการแปลประโยคข้อความจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษาของตนเอง ดังนั้นการเรียนภาษาต่างประเทศจึงหมายถึงการท่องจำกฎเกณฑ์ทางภาษาและทำความเจ้าใจคำ วลี หรือประโยคมีความเชื่อว่าการรับรู้ภาษาที่สองมีความคล้ายคลึงกับการรับรู้ภาษาที่หนึ่ง
              2. การอ่านและเขียนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเน้นไม่ให้ความสำคัญกับทักษะพูดและฟัง
              3. การเลือกคำศัพท์ที่จะเรียนเป็นคำศัพท์ที่อยู่ในข้อความที่อ่าน การสอนคำศัพท์ โดยใช้พจนานุกรมสองภาษาคือจากภาษาที่หนึ่ง แปลเป็นภาษาเป้าหมาย หรือจากภาษาเป้าหมาย แปลเป็นภาษาที่หนึ่ง และโดยการท่องจำคำศัพท์ โดยปกติแล้วตำราที่ยึดการสอนวิธีนี้จะมีไวยากรณ์ คำศัพท์ และคำแปลและแบบฝึกหัดที่เกี่ยวกับการแปล
             4. ประโยคเป็นหน่วยพื้นฐานของการสอนและฝึกทักษะภาษาบทเรียนเกือบทั้งหมด จะเน้นการแปลประโยค วิธีการเรียนภาษาต่างประเทศในสมัยก่อนคิดว่าการใช้กฎเกณฑ์ทางภาษาที่ถูกต้องจะช่วยให้อ่านภาษาต่างประเทศได้ดี
             5. เน้นความถูกต้อง (accuracy) ของการใช้ภาษามุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความสามารถ ในการแปลและการเขียนให้ได้ระดับมาตรฐาน
            6. สอนไวยากรณ์โดยวิธี อุปมาน (deductive) ตำราเรียนจะเน้นกฎเกณฑ์ทางภาษาและฝึกทำแบบฝึกหัด ที่เกี่ยวกับการแปล เวลาสอนครูจะอธิบายไวยากรณ์ในตำราแล้วนักเรียนจะทำแบบฝึกหัด
            7. ใช้ภาษาของผู้เรียนในการดำเนินกิจกรรมการสอน เช่นการอธิบายกฎเกณฑ์ทางภาษา คำศัพท์ เนื้อเรื่อง เพื่อให้นักเรียนเข้าใจการใช้ภาษาต่างประเทศในการแปลและอ่าน เขียน
            สุมิตรา อังวัฒนกุล (2539 : 41-42) กล่าวถึงขั้นตอนการเรียนการสอนดังนี้
            1. สอนคำศัพท์ โดยบอกคำแปลเป็นภาษาผู้เรียน และให้ตัวอย่างประโยคที่มีคำศัพท์นั้นอยู่
            2. สอนโครงสร้าง โดยอธิบายกฎไวยากรณ์และข้อยกเว้นต่าง ๆ ให้ผู้เรียนทราบ พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบแล้วให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัด หรือฝึกใช้ไวยากรณ์ที่เรียนนั้นในการสร้างประโยคต่าง ๆ เพื่อเข้าใจกฎต่าง ๆ ที่เรียนไปแล้วให้ฝึกแปลประโยคเป็นภาษาของตนเอง
           3. สอนอ่าน โดยให้ผู้เรียนอ่านเรื่องที่กำหนดให้ แล้วให้คำแปลเนื้อเรื่องเป็นภาษาของตนเอง เมื่อผู้เรียนมีปัญหาผู้สอนจะช่วยอธิบายเพิ่มเติมโดยใช้ภาษาของผู้เรียน หลังจากผู้เรียน แปลเรื่องที่อ่านจนเข้าใจแล้วผู้สอนจะให้ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านนั้น นอกจากนั้นก็จะตรวจคำตอบว่าถูกต้องหรือไม่ โดยให้ผู้เรียนอ่านคำตอบให้ทั้งชั้นฟัง ถ้าตอบผิดผู้สอนจะเรียกผู้เรียนอื่นตอบคำถามจนถูกต้อง หรือไม่เช่นนั้นผู้สอนก็จะให้คำตอบที่ถูกต้องเอง
           4. ประเมินผลการเรียน ให้ผู้เรียนทำการบ้านโดยการทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติม หรือให้ท่องจำชนิดคำการกระจาย คำกริยาต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงรูปคำให้ท่องจำคำศัพท์แล้วนำไปแต่งประโยคแปลข้อความภาษาต่างประเทศ ให้เป็นภาษาของตนเองหรือแปลงภาษาของตนเอง เป็นภาษาต่างประเทศที่เรียนโดยใช้พจนานุกรมที่มีคำสองภาษา
การสอนแบบตรง (Direct  method)
การสอนแบบตรงเป็นวิธีแรกหลังจากเกิดการปฏิรูปทางด้านการสอนภาษาต่างประเทศเนื่องจาก นักภาษาศาสตร์เห็นว่าวิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปลมิได้ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ดังนั้นจุดมุ่งหมายของการสอนแบบตรงคือมุ่งให้ผู้เรียนใช้ภาษาเพื่อการติดต่อสื่อสาร บทเรียนส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยกิจกรรมที่เป็นบทสนทนา เพื่อเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ ผู้เรียนจะถูกกระตุ้นให้ใช้ภาษาต่างประเทศที่กำลังเรียนอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีการใช้ภาษาของผู้เรียนเลยเวลาสอนผู้สอนจะพยายามสร้างสภาพแวดล้อมในห้องเรียน ให้เหมือนสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ภาษาต่างประเทศผู้สอนจะใช้ภาษาต่างประเทศตลอดเวลา ไม่มีการเน้นสอนไวยากรณ์จะไม่มีการบอกกฎไวยากรณ์อย่างชัดเจน แต่การเรียนรู้ไวยากรณ์จะเรียนรู้อยากตัวอย่างและการใช้ภาษา แล้วสรุปกฎเกณฑ์ ถึงแม้จะมีการฝึกทักษะทั้ง 4 คือ ฟัง-พูด อ่าน เขียน แต่การฝึกทักษะพูดเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดทักษะอ่าน และเขียนจะมีพื้นฐานมาจากการพูดก่อน วิธีสอนแบบนี้เน้นการรู้วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผู้พูดภาษานั้น ๆ ด้วย  วิธีสอนแบบตรงบางครั้งเรียกว่าวิธีสอนตามธรรมชาติ (natural method)
ในศตวรรษที่ 19 เริ่มมีการปฏิรูปทฤษฎีการเรียนรู้ทางภาษาโดยให้ความสนใจกับการเรียนรู้ภาษาตามแนวธรรมชาติคือ มีความคิดที่จะพยายามสอนภาษาที่สองเหมือนกับการสอนภาษาที่หนึ่ง นักภาษาศาสตร์หลาย ๆ คนเชื่อว่าการสอนภาษาต่างประเทศไม่มีความจำเป็นต้องแปลเป็นภาษา ที่หนึ่งถ้าผู้สอนรู้จักที่จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจโดยการสาธิตและแสดงท่าทาง จากเหตุผลที่ไม่ใช้ภาษาที่หนึ่ง ในชั้นเรียนจึงทำให้วิธีสอนแบบตรงมีปัญหาเรื่องครูสอน เพราะครูผู้สอนวิธีนี้จะเป็นครูที่เป็นเจ้าของภาษา เนื่องจากครูที่ไม่ใช้เจ้าของภาษามีข้อจำกัดในการใช้ภาษาเป้าหมายตลอดเวลาจึงหาครูที่มีความสามารถเช่นนี้ ไม่ค่อยง่ายนัก และการหลีกเลี่ยงไม่ใช้ภาษาที่หนึ่งเลยบางทีก็เกิดผลเสียบางครั้งการใช้ภาษาที่หนึ่ง อธิบายเพียงสั้น ๆ อาจทำให้ผู้เรียนเกิดความกระจ่างและช่วยให้เกิดการเรียนรู้ทางภาษาได้เร็วกว่าใช้ภาษาที่สอง    นอกจากนั้นการที่ผู้สอนใช้ภาษาเป้าหมายตลอดเวลาในชั้นเรียนทำให้ผู้เรียนเกิดความคับข้องใจ (frustration) ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้นักภาษาศาสตร์พัฒนาวิธีสอนใหม่ขึ้นมาคือ วิธีสอนแบบฟัง-พูด (audio-lingual method)
สรุปลักษณะสำคัญของการสอนแบบตรง ดังนี้
- ใช้ภาษาเป้าหมายเท่านั้น
- ผู้เรียนจะถูกฝึกให้ใช้ภาษาเป้าหมายที่เป็นภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน
- ผู้เรียนถูกกระตุ้นให้คิดเป็นภาษาเป้าหมาย
- ทักษะแรกที่เน้นคือทักษะพูดแล้วจึงพัฒนาทักษะอ่านและเขียน
-       การสอนศัพท์ ควรสอนความหมายจากบริบทที่คำศัพท์นั้นปรากฏในประโยค ไม่ควรสอนแบบแยกส่วน
-       การสอนกฎไวยากรณ์ควรสอนหลังจากที่เรียนตัวอย่างภาษาในเนื้อเรื่องแล้ว
-       หลีกเลี่ยงการสอนแบบแปล
          อาจสรุปได้ว่าการสอนด้วยวิธีการสอนแบบตรง  (Direct  method) นี้ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะการพูดมากกว่าการเขียน ไม่เน้นการจดจำกฎเกณฑ์ไวยากรณ์ ซึ่งตรงกันข้ามกับการสอนแบบดั้งเดิม
วิธีการสอนแบบตรง  (Direct  method) มีข้อดีดังนี้
1.         ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกสนทนาโดยใช้ภาษาต่างประเทศ
2.         เป็นวิธีสอนที่สอดคล้องกับกับเรียนภาษาแบบธรรมชาติ เพราะเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกฟัง-พูด จนชำนาญเสียก่อน ก่อนไปสู่ทักษะการอ่านและการเขียน
3.         ผู้เรียนได้เรียนภาษาที่คล้ายภาษาแม่ เพราะมีการใช้ภาษาในชั้นเรียนตลอดเวลา
4.         ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนตลอดเวลา ทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกเบื่อและมีทัศนคติต่อการเรียนภาษาต่างประเทศ
วิธีการสอนแบบตรง  (Direct  method) มีข้อจำกัดดังนี้
1.       การสอนวิธีนี้จะไม่มีการแปล  การอธิบายมักใช้ของจริงและของจริงประกอบ ถ้าเป็นการอภิบายเกี่ยวกับนามธรรมมักถูกข้ามไป
2.       การสอนวิธีนี้จะไม่มีการสรุปกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ให้แก่ผู้เรียน  ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจสับสน หรือเข้าใจผิดโดยเอาภาษาแม่เข้ามาใช้ปนกับภาษาต่างประเทศ
3.       การสอนด้วยวิธีนี้ผู้เรียนต้องไม่มากจนเกินไป กล่าวคือ ประมาณ 10-20 คน จะต้องได้รับการเรียนอย่างต่อเนื่องเพื่อจะได้ฝึกอย่างเต็มที่
4.       ครูผู้สอนต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะหาผู้สอนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้
5.       เมื่อผู้เรียนไม่เข้าใจก็ไม่กล้าถาม  เพราะไม่มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารที่ตัวเองต้องการได้

 การสอนแบบฟัง-พูด (Audio-Lingual Method)
วิธีสอนแบบฟัง-พูด เดิมเรียกว่า Aural- Oral Method  แต่เนื่องจากคำว่า “aural”(เกี่ยวกับหู)และ Oral (เกี่ยวกับปาก)  ออกเสียงคล้ายกันทำให้เกิดความสับสน จึงเรียกใหม่เป็น Audio-Lingual Method  ซึ่งเป็นวิธีที่อยู่บนพื้นฐานของจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม (Behavior Phycology) ที่เชื่อว่าการเรียนรู้ทั้งหมดเป็นกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้า และถูกเสริมแรงจนกระทั่งกลายเป็นนิสัย การเรียนรู้ภาษาก็มิได้แตกต่างจากการเรียนรู้ด้านอื่น ๆ คือถ้าจะให้เกิดเป็นนิสัย หรือเกิดการเรียนรู้ต้องฝึกบ่อย ๆ โดยการปฏิบัติซ้ำ  ซึ่งเชื่อว่ารูปแบบทางภาษาศาสตร์ของผู้เรียนที่ถูกต้องได้มาโดยการฝึกพูดรูปแบบประโยคซ้ำๆ จนกว่าจะสร้างรูปแบบภาษาแบบอื่นได้  บทบาทของครูผู้สอน คือการออกแบบ  การฝึกพูด และบทแบบของผู้เรียนคือการจดจำและเรียนรู้ ซึ่งผู้เรียนต้องฝึกสนทนาซ้ำๆ โดยไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ ทักษะเรียงลำดับจาก การฟัง พูด อ่าน และการเขียน ผู้เรียนที่ประสบความสำเร็จจะได้รับการเสริมแรง  และผู้สอนต้องดูแลผู้เรียนอย่างดีเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการใช้ภาษา
การสอนแบบฟัง-พูด (Audio-Lingual Method) ถูกพัฒนาขึ้นในระหว่างช่วงสงคามโลกครั้งที่ 2 จากความจำเป็นที่ทหารจะต้องเรียนรู้ภาษาต่างประเทศให้ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำไปใช้ในช่วงที่ทำการรบในต่างประเทศ วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปลที่ใช้แต่เดิมนั้นไม่สามารถช่วยให้พูดภาษาต่างประเทศได้ ในช่วงเวลานั้น นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมกำลังได้รับความสนใจ แนวคิดนี้นำไปสู่การสอนแบบฟัง-พูด ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันในช่วง ค.ศ. 1980-1960 เรียกว่าวิธีสอนแบบนี้ว่า วิธีสอนแบบภาษาศาสตร์ (linguistic method) หรือวิธีสอนแบบฟัง-พูด (aural-oral method) ต่อมาปี ค.ศ. 1964 Nelsen Brooks แห่งมหาวิทยาลัยเยล ได้เรียกวิธีสอนแบบนี้ว่า audio-lingual method) และเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน  (สุมิตรา อังวัฒนกุล. 2539 : 54-55)
     ลักษณะสำคัญของวิธีสอนการสอนแบบฟัง-พูด (Audio-Lingual Method)  คือ
1.  ทักษะพูดและทักษะฟัง เป็นทักษะที่ต้องพัฒนาก่อนทักษะอ่าน และเขียน
2.  ไม่สนับสนุนการใช้ภาษาที่หนึ่งในชั้นเรียน
3.  ทักษะทางภาษาเป็นรูปแบบที่ตายตัวดังนั้นควรฝึก pattern ของภาษาที่เป็นรูปบทสนทนา (dialogue) เกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ภาษาได้โดยอัตโนมัติ
4.  คำศัพท์ และรูปประโยคจะถูกสอนเป็นลำดับก่อนหลัง เน้นความถูกต้องของกฎเกณฑ์ภาษาและการออกเสียงทักษะเหล่านี้ทำได้โดยการฝึกซ้ำ ๆ โดยครูผู้สอนเป็นผู้ควบคุมการฝึกทั้งหมดลักษณะการฝึกซ้ำ ๆ (drill)
5. เน้นการทำแบบฝึกหัด (drill) และบทสนทนา (dialogue) ในแต่ละ dialogue จะประกอบไปด้วยหลักการใช้ไวยากรณ์และการใช้ภาษาเพื่อสื่อสารวิธีเรียนคือท่องบทสนทนาจนขึ้นใจ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการใช้กฎเกณฑ์ของภาษา
6.  วิธีการสอนแบบนี้ครูจะเป็นศูนย์กลางควบคุมกระบวนการเรียนการสอน แนะนำ และตรวจแก้การใช้ภาษาของนักเรียน ครูจะใช้สื่อในด้านการฟังช่วย เช่น เทปบันทึกเสียง และห้องปฏิบัติการทางภาษา โดยเฉพาะห้องปฏิบัติการทางภาษาจะช่วยให้ผู้เรียน มีโอกาสในการฝึกภาษาด้วยตนเองได้
      วิธีสอนการสอนแบบฟัง-พูด (Audio-Lingual Method)  มีข้อดีดังนี้
1.       ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติภาษาทั้งทักษะ ฟัง-พูด อ่านและเขียน
2.       ผู้เรียนได้ใช้ภาษาตามลักษณะที่เจ้าของภาษาใช้จริงในชีวิตประจำวัน
3.       ผู้เรียนเลียนเสียงจากเทปสนทนาเจ้าของภาษาจริงๆ
4.       ผู้เรียนที่เรียนอ่อนก็สามารถประสบความสำเร็จในการเรียนด้วยวิธีสอนนี้ เพราะเป็นวิธีสอนที่ไม่เน้นไวยากรณ์มากนัก
      วิธีสอนการสอนแบบฟัง-พูด (Audio-Lingual Method)  มีข้อจำกัดดังนี้
1. นักเรียนที่เรียนโดยใช้วิธีนี้พบว่ามีปัญหาในเรื่องการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ในสถานการณ์ที่เป็นจริงเพราะการสื่อสารนอกห้องเรียน มีความซับซ้อนมากกว่าโครงสร้างของบทสนทนาที่ครูให้นักเรียนท่องในชั้นเรียน เมื่อพบกับปัญหานักเรียนจึงไม่สามารถใช้ภาษา เพื่อต่อรองความหมาย (negotiate meaning) ได้จึงทำให้การสนทนาล้มลงกลางคัน
2. การฝึกซ้ำๆและเลียนแบบอาจทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย
3. ในการสอนวิธีนี้ ผู้สอนต้องมีความกระตือรือร้น และใช้เวลาในการเตรียมสื่ออุปกรณ์มาก
4. การฝึกรูปแบบประโยคโดยใช้หลักการวางเงื่อนไข ทำให้ผู้เรียนไม่สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้
5.  เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียนที่ไม่มากเกินไปนัก คือประมาณ 15-20 คน

การสอนแบบความรู้ความเข้าใจ (Cognitive code learning)
ในระยะหลังสงครามโลกเป็นต้นมา วิธีสอนแบบฟัง-พูด (audio-lingual method) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายผู้สอนภาษาต่างประเทศต่างได้รับการชักชวนให้ใช้วิธีสอนแบบฟัง-พูด แต่เมื่อนำไปสู่การปฏิบัติในห้องเรียนปรากฏว่าผลที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง  ซึ่งนักภาษาศาสตร์ นอม ชอมสกี้ (Noam Chomsky) ไม่เห็นด้วยกับนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมซึ่งเชื่อว่า ภาษาเป็นเรื่องของการสร้างสมนิสัยจากการวางเงื่อนไขและการตอบสนองต่อสิ่งเร้า เขาเชื่อว่าการเรียนรู้ภาษาของผู้เรียนนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการและปัจจัยอื่นๆอีกมาก เพราะภาษามีความสัมพันธ์กับความคิด  การใช้ภาษาต้องผ่านกระบวนการทางสมองของมนุษย์  มีการหาเหตุและผล  การเรียนภาษาไม่เพียงแค่เกิดจากการเลียนแบบหรือการฝึกกระสวนประโยคแบบซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น แต่มีการวิเคราะห์ภาษาอย่างมีระบบและสามารถสร้างประโยคใหม่ๆ หลังจากที่ฝึกกระสวนประโยคจากการเรียนได้
ดังนั้นการสอนแบบความรู้ความเข้าใจ (Cognitive code learning) จึงมีการพัฒนาความสามารถที่จะเข้าใจภาษา เป็นสำคัญ การเรียนภาษาต่างประเทศจึงควรให้ผู้เรียนได้รู้แบบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของภาษาที่เรียนนั้น ก่อนที่จะนำไปประยุกต์ใช้การเลียนแบบและจดจำไม่ได้ช่วยให้เกิดความเข้าใจ ดังนั้นสิ่งที่นำมาได้ผู้เรียนเรียนจะต้องเป็นสิ่งที่มีความหมาย มีการจัดลำดับความยากง่าย เพื่อช่วยให้การพัฒนาทักษะทางภาษาของผู้เรียนเป็นไปตามขึ้นตอน เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจระบบภาษาให้มากที่สุด การฝึกนั้นยังคงมีอยู่แต่ผู้เรียนควรได้รับการฝึกในสิ่งที่ได้เรียนรู้และเข้าใจดีแล้ว การใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการฝึกก็เพื่อเน้นให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของภาษาและการใช้ภาษาจริงในชีวิตประจำวัน โดยพยายามให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การใช้ภาษาในสถานการณ์ที่เป็นจริงมากที่สุด
 ทั้งนี้ผู้สอนจะติดคำนึงถึงอยู่เสมอว่า ภาษาคือการสื่อความหมาย ฉะนั้นในการสอนจะต้องสอนให้เข้าใจถึงความหมาย ภาษาพูดหรือภาษาเขียน ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งช่วยให้การเรียนการสอนดำเนินไปอย่างสะดวกง่ายดาย และได้ผลดีก็ควรใช้สิ่งนั้นการสอนจึงไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับ ฟัง พูด อ่าน และเขียน ทั้งนี้ควรเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจภาษา (competence) ก่อนที่จะแสดงออกทางภาษา (performance) และควรหลีกเลี่ยงการเรียนแบบท่องจำผู้สอนอาจใช้ภาษาของผู้เรียนอุปกรณ์และการสาธิตช่วยในการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ถ้าผู้เรียนทำผิดถือว่า เป็นเรื่องธรรมดา และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ซึ่งไม่จำเป็นต้องแก้ไขทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิ่งนั้นสามารถใช้สื่อความหมายได้ ประโยคที่ยังไม่ถูกต้องตามกฎไวยากรณ์ก็เป็นที่ยอมรับว่าเกิดขึ้นได้ตามขั้นตอนของการใช้ภาษาเช่นเดียวกับการเรียนรู้ของเจ้าของภาษา อย่างไรก็ตามควรชี้ให้เห็นความแตกต่างของประโยคที่ถูกต้องและที่ยังไม่ถูกต้องด้วย
สำหรับวิธีสอนแบบความรู้ความเข้าใจ (Cognitive code learning) มีแนวคิดพื้นฐานพอสรุปได้ดังนี้
การเรียนรู้ภาษาไม่ใช่แค่อาศัยการเลียนแบบและการจดจำ  เมื่อผู้เรียนเข้าใจระบบหรือกฎเกณฑ์ไวยากรณ์ภาษาแล้ว ก็จะสามารถใช้ภาษาได้ และในการสอนภาษาไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยทักษะฟัง-พูดก่อน ถ้าสิ่งใดจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และสะดวกก็ใช้วิธีนั้นไปก่อน
การสอนแบบความรู้ความเข้าใจ  (Cognitive code learning) มีข้อดีดังนี้
1.       ผู้รียนมีโอกาสพัฒนาทักษะทั้ง 4 คือ ฟัง พูด อ่านและเขียน
2.       การทำแบบฝึกหัดหลังจากเข้าใจกฎเกณฑ์ไวยากรณ์แล้ว เพื่อให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการฝึกปฏิบัติในสิ่งที่มีความหมายต่อตนเอง และได้ใช้ภาษาตามสถานการที่เป็นจริงด้วย
3.       ผู้เรียนได้ฝึกสติปัญญาและเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการใช้ภาษาภายใต้กฎเกณฑ์ไวยากรณ์ที่ได้เรียนรู้นั้น
การสอนแบบความรู้ความเข้าใจ  (Cognitive code learning) มีข้อเสียดังนี้
1.        วิธีสอนนี้จะใช้ได้ดีกับผู้เรียนที่มีสติปัญญาดี เพราะเป็นวิธีสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนคิดหาเหตุผล
2.       ครูผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจในวิธีสอนนี้เป็นอย่างดีจึงจะทำให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จได้
3.       ผู้สอนต้องมีการเตรียมการและสร้างสถานการณ์ในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี
การสอนตามแนวธรรมชาติ  (Natural-Approach-NA)
การสอนตามแนวธรรมชาติ (Natural-Approach-NA) เป็น แนวการสอนที่พยายามเลียนแบบการรับรู้(acquire) ภาษาที่หนึ่งของเด็กเล็กๆซึ่งเป็นการรับรู้ภาษาที่เกิดตามธรรมชาติโดยที่ไม่มีใครสอน คำว่า natural approach และ natural method (direct method) และต่างกันตรงที่ direct method เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลางน้อยกว่า (Baker & Jones, 1998) Direct Method เน้นการพูดของครู (teacher talk time-TTT) มากกว่า ที่จะเปิดโอกาสให้นักเรียนพูด (student talk time- STTT) และเน้นการแก้ข้อผิดพลาดของผู้เรียน นอกจากนั้นแนวการสอนตามธรรมชาติยังต่างจากวิธีสอนแบบ grammar translation และวิธีสอนแบบ audio-lingual method ตรงที่การสอนตามแนวธรรมชาติเน้นการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย (meaning) และเน้นหน้าที่ (function) ของภาษา ซึ่งเป็นการการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารเหมือนกับวิธีสอนแบบสื่อสาร ( communicative language teaching- CLT) การเลือกเนื้อหาและเรื่องที่สอนต้องสอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน ทักษะฟังควรฝึกก่อนทักษะพูด ก่อนที่ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะเขียนต้องคำนึงความพร้อมของผู้เรียนเพราะทักษะนี้ต้องใช้เวลานานในการสร้างความพร้อม ผู้สอนไม่ควรเร่งเพราะจะทำให้ผู้เรียนวิตกกังวลซึ่งมีผลต่อทัศนคติและแรงจูงใจ การช่วยลดความวิตกกังวล (low anxiety) เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนภาษาที่สอง
การสอนตามแนวธรรมชาตินี้ผู้สอนต้องใช้ภาษาของเจ้าของภาษาตลอดเวลา ซึ่งเป็นปัญหากับผู้สอนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา ในการแก้ปัญหาดังกล่าวผู้สอนอาจใช้เทคนิคต่างๆเพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจ ตัวป้อน (input)เช่นการเทคนิคใบ้คำ (mime) การใช้ภาษาท่าทาง (body language) เป็นต้น หรือผู้สอนอาจใช้เทป หรือ วิดีโอช่วยก็ได้
คราเชนและเทอร์เรล (Krashen and Terrell ,1983) เป็นผู้คิดค้นวิธีสอนแบบนี้ขึ้นมา  คราเชน เป็นนักภาษาศาสตร์ประยุคแห่งมหาวิทยาลัย  Southern California งานที่สำคัญที่เป็นที่แพร่หลายคือทฤษฎีการรับรู้และการพัฒนาการการเรียนภาษาที่สอง (theory of second language acquisition) ทฤษฏีนี้มีอิทธิพลต่องานวิจัยและการเรียนภาษาที่สองอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา นอกจากนั้น คราเชน ยังได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนที่ไม่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่หนึ่ง และผู้เรียนที่ใช้สองภาษา ( bilingual) ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หนังสือของเขาได้รับการตีพิมพ์มากกว่า ๆ 100 เล่มและบทความมากกว่า 300 บทความที่ได้รับการยอมรับทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
คราเชน เชื่อว่าจุดมุ่งหมายของการสอนภาษาที่สองต้องจัดกระบวนการเรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความรู้ที่ป้อนให้กับผู้เรียน (input)ได้ง่ายและเร็วขึ้นครูที่ดีต้องเข้าใจกระบวนการรับรู้ (acquire) ภาษาที่หนึ่งของเด็กเล็กๆเพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจการเรียนรู้ภาษาที่สองของผู้เรียน ผู้สอนต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ใกล้เคียงกับการเรียนภาษาที่หนึ่งมากที่สุด ซึ่งสามารถทำได้โดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้ภาษาในสถานการณ์จริงนอกเหนือจากการจัดกิจกรรมในชั้นเรียน  ตามสมมุติฐานเกี่ยวกับอุปสรรคการรับรู้ทางภาษา (Affective Filter Hypothesis ) ของ คราเชน ถือว่า ความวิตกกังวล (anxiety) เป็นตัวแปรที่มีผลต่อความสำเร็จในการเรียนภาษาที่สอง ถ้าผู้เรียนเกิดแรงจูงใจสูงมีแนวโน้มที่จะแสวงหาโอกาสในการปฎิสัมพันธ์ กับเจ้าของภาษาผู้เรียนที่มีทัศนคติด้านบวกต่อการเรียนภาษาเป้าหมายจะเรียนได้ดีกว่าผู้เรียนที่มีทัศนคติด้านลบ ดังนั้นในการจัดกิจกรรมในชั้นเรียนครูต้องจัดบรรยากาศที่เป็นมิตรเพื่อเสริมให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีและมีความเชื่อมั่นในตนเองคราเชน  ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนภาษาที่สอง ถ้าผู้เรียนเกิดทัศนคติที่ดีและมีความเชื่อมั่นในตัวเองจะทำให้เกิดความกล้า(risk taking) ที่จะสนทนากับเจ้าของภาษาทำให้เพิ่มขีดความสามารถในการสนทนา (conversational competence) และยังรวมไปถึงความสามารถในการใช้เทคนิค (strategy) ที่หลากหลายเพื่อช่วยให้สื่อความหมายได้ดีขึ้นทำให้การสนทนาไม่หยุดลงกลางคัน เช่นการใช้ท่าทาง การถามย้อนกลับเพื่อให้เจ้าของภาษาช่วยตรวจสอบเป็นต้น
ส่วนเทอร์เรล(Terrell,1983) เป็นครูสอนภาษาสเปนในแคลิฟอเนียร์ มีประสบการณ์ด้านการสอนแบบธรรมชาติ เทอร์เรล ได้ร่วมมือกับ คราเชนคิดวิธีการสอนขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่าการสอนตามแนวธรรมชาติ " The Natural Approach-NA"  และได้รับการตีพิมพ์ ในปี1983 เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ คราเชนและเทอร์เรล (Krashen and Terrell ,1983) ได้อธิบายวิธีการที่จะช่วยให้ ผู้เรียนภาษาที่สองมีความสามารถในการใช้ภาษาได้โดยตรงโดยไม่ผ่านกระบวนการสอน กล่าวคือผู้เรียนภาษาที่สองไม่จำเป็นต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ภาษาโดยตรงเหมือนวิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล (grammar translation)

การสอนแบบเงียบ (Silent way)
วิธีสอนแบบเงียบเป็นวิธีสอนที่ได้รับการพัฒนาโดย คาเล็บ แกตเตกโน (Caleb Gattegno,1963) วิธีสอนแบบนี้มิได้เกิดจากวิธีสอนแบบความรู้ความเข้าใจ แต่มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน เช่น หลักการพื้นฐานที่ว่า "การสอนเป็นรองการเรียน" เป็นหลักการที่เน้นความรู้ความเข้าใจ เน้นให้ผู้เรียนคิดเองใช้ความสามารถของตนเองครูเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ผู้เรียนจะต้องพยายามนำสิ่งที่ตนรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และต้องจดจ่ออยู่กับบทเรียนตลอดเวลา ในระยะเริ่มเรียนผู้สอนจะสอนเสียงซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ของภาษาทุกภาษา ผู้สอนจะใช้แผนภูมิเสียงและสีมาช่วยในการเรียนการสอนและอาศัยความรู้เกี่ยวกับ เสียงในภาษาแม่มาเชื่อมโยงกับเสียงในภาษาใหม่ที่เรียน และยังใช้ความรู้เกี่ยวกับสีมาช่วยในการเรียนคำศัพท์ตลอดจนการอ่านออกเสียงคำเหล่านั้น จากนั้นผู้สอนจะสร้างสถานการณ์ที่ดึงความสนใจของผู้เรียนไปยังโครงสร้างของภาษาสถานการณ์จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายด้วย ส่วนใหญ่แล้วสถานการณ์หนึ่งจะเน้นการสอนโครงสร้างเดียวเท่านั้น ผู้สอนจะเป็นฝ่ายเงียบ แต่ขณะเดียวกันเป็นผู้สร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้คิด ผู้สอนจะพูดเมื่อทำเป็นต้องชี้ทางในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้เรียนส่วนผู้เรียนนั้นต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรียนรู้จากกันและกัน
              การสอนแบบเงียบนี้มักจะไม่มีหลักสูตรที่เป็นแบบแผนชัดเจนแน่นอนผู้สอนจะเริ่มสอนจากสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้แล้ว และสอนจากโครงสร้างหนึ่งไปอีกโครงสร้างหนึ่งต่อ ๆ ไปเมื่อผู้เรียนมีความรู้กว้างขวางขึ้น โครงสร้างเดิมจะถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง หลักสูตรจึงมักพัฒนาไปตามความต้องการของผู้เรียน โดยพัฒนาทักษะทั้ง 4  ผู้สอนจะประเมินผลการเรียนของผู้เรียนได้ตลอดเวลาเนื่องจากการสอนเป็นรองการเรียน ผู้สอนต้องตอบสนองต่อความต้องการที่เกิดขึ้นทันทีของผู้เรียน ซึ่งผู้สอนอาจสังเกตได้จากพฤติกรรมของผู้เรียน และอาจประเมินได้จากความสามารถของผู้เรียนในการถ่ายโอนสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ดังนั้นผู้สอนจึงประเมินผลการเรียนจากความก้าวหน้าของผู้เรียนมากกว่าความถูกต้องเป็นการเน้นการเรียนรู้ตามความสามารถของแต่ละบุคคล และเนื่องจากผู้สอนเห็นว่า ความผิดพลาดของผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ข้อผิดพลาดจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ผู้สอนจึงควรใช้ข้อผิดพลาดนั้นเป็นพื้นฐานในการตัดสินว่า บทเรียนต่อไปควรจะเป็นอย่างไรและพยายามให้ผู้เรียนแก้ไขก็ผิดเหล่านั้นด้วยตนเอง โดยให้หัดฟังเปรียบเทียบสิ่งที่ตนพูดกับบรรทัดฐานภายในที่ตนเองพัฒนาขึ้น เมื่อผู้เรียนไม่สามารถจะแก้ไขได้ด้วยตนเองแล้วผู้สอนจึงจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องในที่สุด
การออกแบบการเรียนการสอนจะให้นักเรียนรู้จักโครงสร้างของภาษาและคำ จุดสำคัญของวิธีนี้คือครูจะเงียบซึ่งโดยปกติแล้ว ครูจะแนะนำศัพท์หรือประโยคใหม่แล้วให้ผู้เรียนฝึกร่วมกัน โดยที่ครูไม่เข้าไปแก้ไขข้อผิดพลาดเพราะมีความเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญถ้าผู้เรียนรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไร และรับผิดชอบในสิ่งที่กำลังทำอยู่จะส่งผลต่อการเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน
สรุปแล้วการสอนแบบเงียบเป็นการสอนที่ครู เงียบ แต่ใช้การบอกใบ้ท่าทางและสื่อทุกชนิด แผนภูมิสีเพื่อช่วยในการออกเสียง แท่งไม้ที่เรียกว่า "Cuisiniere rod"  คือชุดของแท่งไม้ที่มีสีและความยาวที่แตกต่างกันที่ครูใช้ในการช่วยให้นักเรียนพูด โดยเฉพาะผู้เริ่มเรียน โดยใช้คำศัพท์ง่ายเช่น ครูยกแท่งไม้นักเรียนพูด "This is a yellow rod" แล้วครูกระตุ้นให้นักเรียนพูดประโยคซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เช่น Take the long yellow rod and give it to Cathy. ในระหว่างนี้ครูจะไม่พูดหรือพูดน้อยที่สุดเพื่อให้นักเรียนสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และรู้สึกเป็นอิสระจากการควบคุมของครู นักเรียนจะต้องเรียนรู้ที่จะประเมินตนเองจะแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ของตนเองได้ กาแตกโน  เห็นว่าการใช้วิธีสอนแบบนี้ทำให้ผู้เรียนจำโครงสร้าง และคำศัพท์ได้ดีและพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาในระดับสูงขึ้นได้ดี ซึ่งเขาเชื่อว่าการเรียนภาษาจะมีประสิทธิภาพ เมื่อผู้เรียนมีความรับผิดชอบ และการเรียนเป็นกระบวนการแก้ปัญหาผู้เรียนค้นพบข้อความรู้ด้วยตัวเองมากกว่าที่จะรอรับความรู้จากครู
การสอนแบบเงียบ (Silent way) มีข้อดีดังนี้
1.       ผู้เรียนได้ฝึกใช้ความคิดและใช้ภาษาอย่างอิสระ โดยครูผู้สอนเป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษาเท่านั้น
2.       ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนตลอดเวลา ทำให้ผู้เรียนจดจ่อและตั้งใจเรียน
3.       ผู้เรียนได้ช่วยกันในการแก้ปัญหา มีการแนะนำ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ได้ใช้ความคิดร่วมกัน แทนที่ผู้สอนจะเป็นผู้ป้อนข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียว
การสอนแบบเงียบ (Silent way) มีข้อจำกัดดังนี้
1.       ต้องใช้กับผู้เรียนกลุ่มเล็ก
2.       ผู้เรียนต้องมีสมาธิ และสติปัญญาค่อนข้างดี  มีแรงจูงใจในการเรียนเป็นคนช่างคิด ช่างสังเกตและช่างจำ
3.       การสอนแบบนี้เหมาะกับการสอนที่เป็นรูปธรรม แต่จะยากถ้าจะสอนสิ่งที่เป็นนามธรรม
4.       ผู้เรียนอาจรู้สึกอึดอัดในการเรียนแบบลองผิดลองถูก
5.       ผู้สอนที่ได้รับการฝึกฝนวิธีสอนแบบนี้มีน้อย
การสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)
การสอนแบบชักชวนเป็นวิธีการสอนที่ได้รับพัฒนาขึ้น โดยจอร์จี้ โลซานอฟ (Georgi Lozanov,1978)  วิธีสอนนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดว่าสมองซีกกขวาของมนุษย์พัฒนาได้ดีจากการใช้เทคนิค "ชักชวน" (suggestion) ดังนั้นการสอนแบบชักชวน suggestopedia  จึงเป็นวิธีที่ครูต้องมีทักษะ ในการร้องเพลงแสดงท่าทาง และรู้เทคนิคการบำบัดทางจิตวิทยา (psychotherapeutic techniques) วิธีการสอนจะใช้เทคนิคการออกกำลังกาย เพื่อขจัดความวิตกกังวลที่เป็นเหตุให้สกัดกั้นการเรียนรู้ของผู้เรียนกิจกรรมต่างๆดังกล่าวประกอบด้วยการใช้ดนตรี รูปภาพ (visual image) บทสนทนาต่าง ๆ ที่ให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมเหล่านี้ภายใต้บรรยากาศที่สบายไม่เป็นทางการไม่มีการแก้ไข ข้อผิดพลาดของผู้เรียน
โลซานอฟ ยอมรับแนวคิดโยคะและจิตวิทยาของโซเวียต เขาดัดแปลงวิธีการกำหนดจังหวะการหายใจแบบ  (raja-yoga )และจากกลุ่มนักจิตวิทยาโซเวียต   โลซานอฟ นำแนวคิด เรื่องการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หลักสำคัญของวิธีสอนแบบนี้คือ การใช้จังหวะและดนตรีเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการจำและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ผู้เรียนอาจนั่งหลับตากำหนดลมหายใจ หรือสร้างจินตนาการผ่อนคลายความตึงเครียดและความวิตกกังวล ในขณะที่ครูเปิดเพลงเบา ๆ โลซานอฟ เชื่อว่าดนตรีสามารถทำให้ผู้เรียนผ่อนคลายได้ (Richards and Theordove. 1995 : 142)
กิจกรรมการเรียนที่การสอนแบบชักชวน (Suggestopedia) เน้นคือกิจกรรมการฟัง ผู้สอนจะใช้ภาษาสนทนา ที่มีคำแปลเป็นภาษาของผู้เรียนรวมทั้งไวยากรณ์และคำศัพท์จากบทสนทนาไว้ด้านหนึ่งด้วย ผู้สอนจะอ่านบทสนทนาให้ผู้เรียนฟัง 3 ครั้ง ในครั้งแรก ผู้เรียนฟังบทสนทนาที่ครูอ่านให้ฟังโดยอ่านคำแปลไปด้วย ในการอ่านครั้งที่สองผู้เรียนอาจดูบทเรียนไปด้วย  และจดรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ในการอ่านครั้งที่สามนั้น ผู้อ่านจะเปิดเพลงคลาสสิกไปพร้อม ๆ กัน ผู้เรียนได้รับอนุญาตให้วางหนังสือ และเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตามสบาย จะหลับตาฟัง หรือจะหยิบบทเรียนขึ้นมาอ่านตามก็ได้ ในขั้นต่อไปอาจให้ผู้เรียนเล่นเกมทางภาษา การเล่นละครสั้น การร้องเพลง การถามตอบเพื่อให้ภาษาในการสื่อสารการจัดกิจกรรมจะทำเป็นกลุ่มผู้เรียนจะไม่ถูกบังคับให้ทำงานเป็นรายบุคคลกิจกรรมทุกกิจกรรมต้องเสริมให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจ และรู้สึกว่าไม่ถูกบังคับให้ทำในระยะเริ่มแรกผู้สอนจะไม่แก้ไขข้อผิดพลาดทันที แต่จะนำสิ่งที่ถูกต้องมาสอนในวันต่อไป
สรุปได้ว่า การสอนแบบชักชวน(Suggestopedia) เป็นการเรียนรู้ที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ การเรียนรู้  ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาได้เร็ว เพราะเป็นการเรียนที่ทำให้เกิดการจดจำที่ดี และทำให้ผู้เรียนรู้สึกสบายเพลิดเพลินในการเรียน
นอกจากนี้โลซานอฟ   ยังได้เสนอพฤติกรรมที่คาดหวังของผู้สอนไว้ เพื่อการเรียนการสอนที่น่าสนใจ และผู้เรียนเกิดการยอมรับดังนี้
1.       ผู้สอนต้องแสดงความเชื่อมั่นในการสอน
2.       ผู้สอนต้องแต่งกายสุภาพและมีลักษณะบุคลิกที่สำรวม
3.       ผู้สอนควรมีทัศนคติที่ดีต่อการสอนอยู่ตลอดเวลา
4.       ผู้สอนควรมีเมตตาต่อคนที่สอบยังไม่ผ่าน
5.       ผู้สอนควรให้ความรู้อย่างกว้างๆมากกว่าสอนวิเคราะห์บทเรียนนั้นๆ
6.       ผู้สอนควรมีความกระตือรือร้น เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียนการสอน
การสอนแบบชักชวน (Suggestopedia) มีข้อดีดังนี้
1.       ผู้เรียนได้เรียนรู้ภาษาอย่างธรรมชาติ
2.       ผู้เรียนไม่กังวลกับความผิดพลาดในการใช้ภาษา จึงทำให้เรียนรู้และรับรู้ภาษาได้เร็ว
3.       ผู้เรียนมีความมั่นใจในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารกับผู้อื่นได้
4.       ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจและมีความสนใจในการเรียนภาษาต่อไปเรื่อยๆ
 การสอนแบบชักชวน (Suggestopedia) มีข้อจำกัดดังนี้
1.       ผู้สอนต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการสอน
2.       การสอนแบบนี้ใช้กับนักเรียนกลุ่มเล็ก
3.       ผู้สอนควรมีลักษณะที่กระฉับกระเฉง มีการเตรียมการและจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีในการสอน
การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total physical response method - TPR)
การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางนี้คิดขึ้นมา โดยเจมส์ แอชเชอร์ (James Asher,1996)ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาชาวอเมริกัน วิธีสอนแบบนี้อิงแนวคิดที่ว่า การสื่อความหมายของภาษาต่างประเทศ อาจทำได้โดยการปฏิบัติ หรือใช้กริยาอาการประกอบ ผู้เรียนจะจำได้ดี ถ้าได้ปฏิบัติหรือแสดงการโต้ตอบด้วยการเรียนภาษาควรเรียนกลุ่มคำที่มีความหมายไม่ใช่การเรียนคำโดด ๆ เน้นภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียนผู้เรียนควรได้รับการฝึกฟังให้เข้าใจก่อนที่จะฝึกพูด ผู้เรียนจะเริ่มพูด เมื่อพร้อมที่จะพูดผู้เรียนจะเรียนรู้ภาษาจากการสังเกตและการกระทำของผู้อื่นและจากการฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง การที่ผู้เรียนรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จในการเรียนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปได้ดียิ่งขึ้น การแก้ไขเมื่อผู้เรียนทำผิดจึงควรทำอย่างนุ่มนวล ไม่โจ่งแจ้งโดยผู้สอนอาจพูดซ้ำ หรือปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่างการแก้ไขในรายละเอียดอาจต้องชะลอไว้จนกว่าผู้เรียนจะอยู่ในระดับสูงขึ้น
นอกจากนี้ แอชเชอร์ ยังให้ความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับความเข้าใจของผู้เรียนก่อนฝึกพูด และรวมทั้งการเคลื่อนไหวร่างกาย หลักความเข้าใจมีประเด็นสำคัญดังนี้
1.       ความเข้าใจในภาษาย่อมมากก่อนทักษะอื่น
2.       การสอนให้นักเรียนพูดควรจะสอนเมื่อผู้เรียนมีความเข้าใจภาษานั้นดีพอแล้ว
3.       การสอนภาษาควรเน้นที่มีความหมายของภาษามากกว่ารูปแบบ
4.       ทักษะการฟังจะช่วยถ่ายโอนไปสู่ทักษะอื่นๆได้
5.       การสอนภาษาต้องลดความตึงเครียดให้น้อยที่สุด
ลักษณะเด่น
1. ในระยะแรกของการเรียนการสอน ผู้เรียนไม่ต้องพูด แต่เป็นเพียงผู้ฟังและทำตามครู
2. ครูเป็นผู้กำกับพฤติกรรมของนักเรียนทั้งหมด ครูจะเป็นผู้ออกคำสั่งเอง จนถึงระยะเวลาที่
นักเรียนสามารถพูดได้แล้ว จึงเรียนอ่านและเขียนต่อไป
3. ภาษาที่นำมาใช้ในการสอนเน้นที่ภาษาพูด เรียนเรื่องโครงสร้างทางไวยากรณ์และคำศัพท์
มากกว่าด้านอื่นๆ โดยอิงอยู่กับประโยคำสั่ง
4. นักเรียนจะข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจนจากการแสดงท่าทางของครู
5. ครูทราบได้ทันทีว่านักเรียนเข้าใจหรือไม่ จากการสังเกตการปฏิบัติตามคำสั่งของนักเรียน
การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total physical response method - TPR) มีข้อดีดังนี้
1.       เป็นการสอนที่ผู้เรียนนำไปปฏิบัติจริงได้ง่าย
2.       ผู้เรียนไม่มีความตึงเครียด เพราะไม่ถูกบังคับให้พูดจะกว่าจะมีความพร้อม
3.       เหมาะสำหรับผู้เริ่มเรียนภาษา
การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total physical response method - TPR) มีข้อจำกัดดังนี้

1.       ผู้สอนต้องเตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี และผู้สอนต้องมีความกระตือรือร้นอย่างมากที่ต้องคอยกระตุ้นผู้เรียนให้มีส่วนร่วมในการสอนตลอดเวลา
2.       ผู้สอนต้องอดทนต่อข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆของผู้เรียนในระยะเริ่มต้น

วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Community Language Learning - CLL)
วิธีสอนภาษาแบบกลุ่มสัมพันธ์เป็นวิธีสอนที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดย ชาร์ลส์ เอ เคอรัน (Charles A. Curran,1970) ศาตราจารย์สาขาจิตวิทยาแนะแนว แห่งมหาวิทยาลัยโยลา มลรัฐชิคาโก เคอรัน (Loyola, Chicago Curran) ประยุกต์แนวคิดนี้มาจากเทคนิคการแนะแนวครูจะเป็นผู้ให้คำปรึกษา และพยายามที่จะคอยสนองความต้องการในการใช้ภาษาของผู้เรียนเหมือนกับผู้เรียนเป็นผู้มารับคำปรึกษา บรรยากาศในห้องเรียนจัดเหมือนกับชุมชน (community) เน้นให้ทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กระบวนการเรียนภาษาจะเปรียบเหมือนกับการเจริญเติบโตของมนุษย์เริ่มจากทารกที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จนกระทั่งถึงขึ้นที่เป็นอิสระหรือเป็นผู้ใหญ่การช่วยเหลือแต่ละขั้นของครูจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เรียน  โดยปกติแล้วการเรียนการสอนครูจะให้ผู้เรียนพูดแสดงความรู้สึกเป็นภาษาของผู้เรียน แล้วครูจะแปลหรือตีความที่นักเรียนพูดให้ทั้งชั้นฟังบรรยากาศชั้นเรียนจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนภาษา และเกี่ยวกับบทเรียนที่เรียน
แนวคิดพื้นฐานการเรียนภาษาด้วยวิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์นี้พอสรุปได้ ดังนี้
1.       การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดี หากผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกัน ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นถกเถียงหรือโต้แย้ง หรือพึ่งพาอาศัยกันและกัน นอกจากนี้การที่ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนๆ ทำให้รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมซึ่งกันและกัน และเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะเรียนรู้ร่วมไปกับเพื่อนๆของตน
2.       การให้คำปรึกษาและกำลังใจที่ดีแก่ผู้เรียนที่มีปัญหา ย่อมทำให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจในการเรียนมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ภาษาในเวลาต่อมา
กิจกรรมการเรียนการสอน
1. การแปล (translation) ผู้เรียนนั่งเป็นวงกลม ผู้เรียนพูดข้อความที่ต้องการจะแสดงความคิดหรือความรู้สึก ผู้สอนแปล ข้อความนั้นผู้เรียนพูดตามผู้สอน
2. การทำงานกลุ่ม (group work) บางครั้งผู้สอนจะให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มมีการกำหนดหัวข้อแล้วร่วมกันอภิปรายช่วยกันเตรียมบทสนทนา เตรียมเรื่องที่จะพูดหน้าชั้น เป็นต้น
3. สนทนาอย่างอิสระ (free conversation) นักเรียนสนทนากับครูกับเพื่อน อาจเป็นการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และอื่น ๆ
จะเห็นได้ว่าการเรียนด้วยวิธีสอนภาษาแบบกลุ่มสัมพันธ์นี้  จะยึดผู้เรียนเป็นจุดศูนย์กลาง (Learner-Center) ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้ภาษาตามความต้องการของตนจริงๆ
วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Community Language Learning - CLL) มีข้อดี ดังนี้
1.       ผู้เรียนได้ฝึกทำงานเป็นกลุ่ม มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้เรียนรู้สึกมั่นใจ ไม่หวาดกลัวต่อความผิดพลาด ดังนั้นจึงส่งผลให้ผู้เรียนมีความรู้สึกสบายใจ และรู้สึกสนใจในภาษามากขึ้น
2.       ผู้เรียนได้รับการเน้นในเรื่องทักษะการพูด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาที่พูดนั้นเกิดจากตัวผู้เรียนเอง ผู้เรียนจึงเกิดความคิดสร้างสรรค์และมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนตลอดเวลา
3.       ผู้เรียนเกิดทัศนะคติที่ดีต่อผู้สอน เพราะบทบาทของผู้สอนในวิธีสอนนี้จะเป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้เรียน  ตลอดระหว่างทำกิจกรรม ซึ่งส่งผลให้ผู้เรียนสนใจที่จะเรียนกับผู้สอนมากขึ้น
วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Community Language Learning - CLL) มีข้อจำกัด ดังนี้
1.       ผู้สอนต้องมีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศได้เป็นอย่างดี  จึงจะสนองการใช้ภาษาของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
2.        ผู้สอนต้องมีความอดทนและคอยกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสดงออกทาภาษามากๆ
การสอนภาษาอังกฤษตามแนวสื่อสาร (communicative language teaching -CLT)

        การสอนตามแนวสื่อสารได้ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรก ในแถบอเมริกาเหนือและยุโรปในช่วงปี 1970 การสอนตามแนวสื่อสารเกิดขึ้นในยุโรป เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้อพยพเข้าไปอาศัยในยุโรปเป็นจำนวนมาก สมาพันธ์ยุโรป (Council of Europe) จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาหลักสูตรการสอนภาษาที่สองแบบเน้นหน้าที่และสื่อความหมาย (functional national syllabus design) เพื่อช่วยให้ผู้อพยพสามารถใช้ภาษาที่สองในการสื่อสาร ในส่วนของอเมริกาเหนือไฮมส์ (Hymes) ได้ใช้คำว่า ความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร (communicative competence) หมายถึงความสามารถในการปฎิสัมพันธ์ หรือปะทะสังสรรค์ทางด้านสังคม (social interaction) ซึ่งความสามารถทางด้านภาษาที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถที่จะพูด หรือเข้าใจคำพูดที่อาจไม่ถูกหลักไวยากรณ์ แต่มีความหมายเหมาะสมกับสภาพการณ์ที่คำพูดนั้นถูกนำมาใช้ (Savignon, 1991)
       การสอนภาษาแบบสื่อสาร (Communicative Language Teaching - CLT) คือแนวคิดซึ่งเชื่อมระหว่างความรู้ทางภาษา (linguistic knowledge) ทักษะทางภาษา (language skill) และความสามารถในการสื่อสาร (communicative ability) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้โครงสร้างภาษาเพื่อสื่อสาร (Canale & Swain, 1980 ; Widdowson, 1978). คเนล และสเวน (1980) และเซวิกนอน (Savignon, 1982) ได้แยกองค์ประกอบของความสามารถในการสื่อสารไว้ 4 องค์ประกอบ ดังนี้
         1. ความสามารถทางด้านไวยากรณ์หรือโครงสร้าง (grammatical competence) หมายถึงความรู้ทางด้านภาษา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ โครงสร้างของคำ ประโยค ตลอดจนการสะกดและการออกเสียง
         2. ความสามารถด้านสังคม (sociolinguistic competence) หมายถึงการใช้คำ และโครงสร้างประโยคได้เหมาะสมตามบริบทของสังคม เช่น การขอโทษ การขอบคุณ การถามทิศทางและข้อมูลต่าง ๆ และการใช้ประโยคคำสั่ง เป็นต้น
       3. ความสามารถในการใช้โครงสร้างภาษาเพื่อสื่อความหมายด้านการพูด และเขียน (discourse competence) หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมระหว่างโครงสร้างภาษา (grammatical form) กับความหมาย (meaning) ในการพูดและเขียนตามรูปแบบ และสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
       4. ความสามารถในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย (strategic competence) หมายถึงการใช้เทคนิคเพื่อให้การติดต่อสื่อสารประสบความสำเร็จโดยเฉพาะการสื่อสารด้านการพูด ถ้าผู้พูดมีกลวิธีในการที่จะไม่ทำให้การสนทนานั้นนั้นหยุดลงกลางคัน เช่นการใช้ภาษาท่าทาง (body language) การขยายความโดยใช้คำศัพท์อื่นแทนคำที่ผู้พูดนึกไม่ออก เป็นต้น
             จะเห็นได้ว่าการสอนตามแนวสื่อสาร ไม่ได้ละเลยโครงสร้างทางไวยากรณ์ แต่ในการสอนโครงสร้างทางไวยากรณ์ต้องเน้นการนำหลักไวยากรณ์เหล่านี้ไปใช้ เพื่อการสื่อความหมายหรือการสื่อ  สารคเนล และสเวน (Canale & Swain, 1980) อธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงความสำคัญของกฎเกณฑ์และโครงสร้างทางภาษา ถ้าปราศจากกฎเกณฑ์ และโครงสร้างแล้วความสามารถทางการสื่อสารของผู้เรียนจะถูกจำกัด ดังนั้น ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา (fluency) และความถูกต้องในการใช้ภาษา (accuracy) จึงมีความสำคัญเท่ากัน

บทบาทของผู้เรียน (learner roles)
           บรีนและแคนดริน (อ้างใน Richards & Rodgers, 1995) อธิบายบทบาทของผู้เรียนตามแนวการสอนตามแนวสื่อสาร ผู้เรียนคือผู้ปรึกษา (negotiator) การเรียนรู้เกิดจากการปรึกษาหารือในกลุ่มผู้เรียน โดยผู้สอนจัดกิจกรรม ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ จุดมุ่งหมายหลักในการทำกิจกรรมกลุ่มคือมุ่งให้ผู้เรียนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
บทบาทของครู (teacher roles)
            ครูมีบทบาทที่สำคัญ 3 บทบาท คือผู้ดำเนินการ (organizer, facilitator)เตรียมและดำเนินการจัดกิจกรรม ผู้แนะนำหรือแนะแนว (guide) ขั้นตอนและกิจกรรมต่าง ๆ และเป็นผู้วิจัยและผู้เรียน (researcher, learner) เรียนรู้พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนแต่ละคน นอกจากนั้นครูอาจมีบทบาทอื่น ๆ เช่น ผู้ให้คำปรึกษา(counselor) ผู้จัดการกระบวนการกลุ่ม (group process manager) ครูตามแนวการสอนแบบการสอนตามแนวสื่อสาร เป็นครูที่เป็นศูนย์กลางน้อยที่สุด (less teacher centered) นั่นคือครูมีหน้าที่ดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อการสื่อสารและในช่วงที่นักเรียนทำกิจกรรมครูจะกระตุ้นให้กำลังใจช่วยเหลือให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารให้ได้ความหมายและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ อันเป็นการเชื่อมช่องว่างระหว่างความสามารถทางไวยากรณ์ (grammar competence) และความสามารถทางด้านสื่อสาร (communicative competence) ของผู้เรียน
บทบาทของสื่อการเรียนการสอน (the role of instructional materials)
               การสอนตามแนวสื่อสาร จำเป็นที่ต้องใช้สื่อที่หลากหลาย เพราะสื่อมีความสำคัญต่อการเรียนแบบปฏิสัมพันธ์หรือการเรียนแบบร่วมมือและการฝึกใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร สื่อที่สำคัญ 3 อย่างที่ใช้สำหรับการสอนตามแนวสื่อสาร ได้แก่ เนื้อหา (text-based) งาน/กิจกรรม (task-based) ของจริง(realia) เนื้อหา (text-based material) ในปัจจุบันมีตำราเรียนจำนวนมากที่สอดคล้องกับการเรียน/สอนตามแนวสื่อสาร ซึ่งการออกแบบตำราเรียนกิจกรรมและเนื้อหาแตกต่างจากตำราที่แต่งขึ้นมาเพื่อสอนไวยากรณ์ ยกตัวอย่าง แบบเรียนตามแนวการสอนเพื่อการสื่อสาร จะไม่มีแบบฝึกหัด (drill) หรือโครงสร้างประโยคส่วนมาก แบบเรียนที่เน้น  การสอนเพื่อการสื่อสารจะประกอบไปด้วยข้อมูลในรูปต่าง ๆ เช่น การจัดสถานการณ์ที่ให้ผู้เรียนแสดงบทบาทสมมุติหรือกิจกรรมคู่ หรืออาจกำหนดเรื่อง (theme) ที่จะเรียนแล้วมีกิจกรรมที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องนั้น ๆ
       งาน/กิจกรรม (task-based material) เกมส์ต่าง ๆ กิจกรรมคู่ กิจกรรมเดี่ยว บทบาทสมมุติ การเลียนแบบ และกิจกรรมอื่น ๆ เช่น กิจกรรมการสอบถามแลกเปลี่ยนข้อมูล (gap conversation) กิจกรรม Jigsaw ที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทำงานเป็นกลุ่มร่วมมือกัน
       สื่อที่เป็นของจริง (realia) การสอนตามแนวสื่อสารนั้นจะเน้นการใช้สื่อที่เป็นของจริง (authentic material) เช่น ป้ายประกาศโฆษณา หนังสือพิมพ์รูปภาพ แผนที่ เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปแล้ววิธีสอนตามแนวการสื่อสารนี้  มุ่งการพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาของผู้เรียนเป็นหลัก เป็นวิธีสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นจุดศูนย์กลาง ครูผู้สอนต้องคอยเป็นผู้แนะนำและให้คำปรึกษาเท่านั้น


การสอนภาษาอังกฤษตามแนวสื่อสาร  (communicative language teaching – CLT) มีข้อดี ดังนี้
1.       ผู้เรียนมีโอกาสฝึกปฏิบัติทางภาษาได้สมจริงตามสถานการณ์ต่างๆ
2.       ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียนเพราะได้เรียนสิ่งที่มีความหมายต่อตน และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3.       ผู้เรียนมีโอกาสทำงานร่วมกับผู้อื่น ทั้งบทบาทผู้นำและผู้ตามของกลุ่ม
4.       ผู้เรียนได้ฝึกใช้ความคิดในการเรียนมากขึ้น เพราะลักษณะกิจกรรมส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมแก้ปัญหา
การสอนภาษาอังกฤษตามแนวสื่อสาร  (communicative language teaching –CLT) มีข้อจำกัด ดังนี้
1.         การสอนภาษาตามแนวสื่อสารนี้ ผู้สอนต้องมีความสามารถในการจัดสื่อ กิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกกิจกรรมทางภาษาในสถานการณ์ต่างๆ ได้มาก
2.       วิธีการสอนนี้จำเป็นที่ผู้สอนต้องมีความอดทนเป็นอย่างมาก  เพราะในขณะทำกิจกรรมผู้เรียนอาจขาดวินัย และไม่พยายามใช้ภาษาต่างประเทศในการสื่อสาร ซึ่งผู้สอนต้องคอยให้ความดูแลและคอยกระตุ้นการใช้ภาษาของผู้เรียนตลอดเวลา
3.       ผู้สอนต้องมีความรู้ภาษาเป้าหมายเป็นอย่างดี

บทสรุป
            วิธีสอนภาษาต่างประเทศมีวัฒนาการอยู่เนื่องๆ เพื่อตอบสนองสภาพเหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง และแนวคิดทฤษฏีต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันทั่วโลกมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านโทรคมนาคมมาก ประกอบกับการรวมตัวกันของประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียน ที่มีการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเป็นด้าน การศึกษา การค้า การเมือง และอื่นๆ  ดังนั้นการเรียนการสอนภาษาจึงมุ่งให้ผู้เรียนสามารถนำการเรียนรู้ภาษาหรือประสบการณ์ที่ได้ในชั้นเรียนไปใช้ในชีวิตประจำวัน  การเรียนรู้ที่เน้นไวยากรณ์ทางภาษาย่อมไม่สามารถให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้ ดังนั้นแนวโน้มการสอนภาษาจึงมีการเปลี่ยนแปลง และมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพบว่าวิธีสอนวิธีไดไม่สามารถจะประสบผลสำเร็จได้ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ วิธีสอนจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปนั้นเอง ดังนั้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั่วโลกจึงได้หันมาสนใจต่อวิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารมากขึ้นตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้นนั้นเอง
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น